posttoday

ยกย่องพระอัจฉริยภาพด้านการทหาร เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระราชินี

01 มิถุนายน 2563

กระทรวงกลาโหมจัดสัมมนาเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี วิทยากรจิตอาสา 904 ยกย่องพระอัจฉริยภาพด้านการทหาร

เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 63 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จัดโครงการสัมมนาเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิ.ย. 2563 มีพล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน

พันเอก วันชนะ สวัสดี วิทยากรจิตอาสา 904 กล่าวในการบรรยายพิเศษหัวข้อ “พระราชกรณียกิจ ด้านทหาร และ โครงการจิตอาสาพระราชทาน” ตอนหนึ่งว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงปฏิบัติหน้าที่ราชองครักษ์ อย่างมุ่งมั่นในการถวายพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ ทรงตั้งมั่นในการถวายรักษาความปลอดภัย ทรงผ่านการฝึกฝนทางทหาร มีความเข้มแข็ง อดทน และมีวินัยอย่างยิ่ง ด้วยพระองค์เอง

เช่น เมื่อวันที่ 11พ.ค. 2559 ซึ่งขณะนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงทำหน้าที่ผู้บังคับกองผสม ในการแสดงทางทหารประกอบดนตรี "ราชวัลลภเริงระบำ" (Hope to the Body Slams) เบื้องหน้าพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ โดยใช้เวลาการแสดง 48-50 นาที มีทั้งหมด 3 บทของการฝึก

บางบทมี 6 กลุ่มท่า บางบทมี 7 กลุ่มท่า กลุ่มท่าต่างๆ ประกอบด้วย การแทรกขบวน มีทั้งท่านั่ง ทางยืน ท่าเดิน ซ้ายหัน ขวาหัน รวมถึง ท่าแทรกขบวน แถวแซงเสด็จ ขณะเคลื่อนที่ ท่าการใช้อาวุธในการแสดงความเคารพ ท่าเคลื่อนที่ทางการทหารโดยถือปืนไปด้วย ท่าตรวจอาวุธประจำหมวด ทั้งปืนกล ปืนเล็กยาว ปืนสั้น

สิ่งที่เห็นทั้งหมด คือ พระองค์ท่านได้ฝึกซ้อมอย่างหนักทุกวัน ตามมาตรฐานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

"ทหารด้วยกันจะรู้ ความรู้สึกของการฝึกดีว่าเป็นอย่างไร ถ้าไม่ซ้อมจริง ทำออกมาแบบนี้ไม่ได้ มีหลายคน อาจคิดว่าพระองค์ท่าน ไม่ได้ฝึกจริงจัง แล้วก็ได้ประกาศ ได้วุฒิบัตร ได้เข็มมา ทั้งๆที่ความจริง พระองค์ท่านต้องฝึกหนัก และการฝึก เพื่อถวายความปลอดภัยนั้น เป็นไปตามมาตรฐานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งหมด"

พันเอก วันชนะ กล่าวว่า ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงที่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทำหน้าที่ราชองครักษ์ เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ในพระราชพิธีตรึงหมุด บรรจุเส้นพระเกศา พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ ถวายธงชัยเฉลิมพล 63 ธง

ภาพที่เห็นคือ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงนั่งคุกเข่าอยู่ข้าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตลอดระยะเวลาที่กองทหารเข้ารับธงชัยเฉลิมพล เฉลี่ยหน่วยละ 1 นาที รวม 63 หน่วย เท่ากับว่าต้องนั่งอยู่ประมาณ 1 ชม. ในแต่ละช่วงของการนั่ง จะมีการคุกเข่าสูงขึ้นมา รับธงชัยเฉลิมพลที่มีน้ำหนักพอสมควร และทรงถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

นี่คือความอดทน และความมุ่งมั่นของพระองค์ ในการถวายความปลอดภัย และ ถวายพระเกียรติให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

นอกจากนี้ในพระราชประวัติของพระองค์นั้น ที่ได้รับพระราชทานยศทางทหาร ก็ไม่ได้มีการข้ามยศ หรือ รวดเร็วเกินไป

เริ่มต้นจากการเป็นนายทหารยุทธการ และก่อนขึ้นเป็นรองผู้บังคับกองพันฯ ก็ต้องไปเรียนชั้นนายร้อยฯ ชั้นนายพันฯ หลักสูตร 3 เดือน ที่ศูนย์การทหารราบ

จากนั้นก็เป็นการปรับขึ้นตามลำดับชั้นจาก ผู้บังคับกองพันฯ รองผู้บังคับการกรมฯ ขึ้นเป็น ผู้บังคับการกรมโรงเรียนทหารมหาดเล็กฯ จากนั้นเป็นฝ่ายเสนาธิการ และ ปี 2558 เป็นราชองครักษ์

ซึ่งหลังจากนั้นเป็นต้นมา พระองค์ทรงเข้ารับการฝึกทางทหารหลายหลักสูตร หลังจากผ่านหลักสูตรทหารมหาดเล็กฯ มาแล้ว ก็ทรงเข้ารับการอบรมหลักสูตรการยิงปืนพก รวมถึงหลักสูตรของทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ Jungle Warfare เหมือนกับหลักสูตรจู่โจมของกองทัพบก ผสมกับ หลักสูตรทหารเสือราชินี

นอกจากนั้น พระองค์ยังทรงผ่านหลักสูตรกระโดดร่มของศูนย์สงครามพิเศษ ของ ทบ. และ เป็นทหารหญิงคนแรกที่กระโดดร่มของนาวิกโยธินที่กระโดดร่มลงทะเล ทั้งกลางวันและกลางคืน รวมทั้งต้องว่ายน้ำ 300 เมตร ซึ่งทั้งหมดเพื่อนำไปสู่การทำหน้าที่ราชองครักษ์ในการถวายความปลอดภัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

นอกจากนี้ยังผ่านหลักสูตรการบินในปี 2553-2555 โดยทรงเป็นศิษย์การบินของโรงเรียนศูนย์การบินทหารบก โรงเรียนการบินกำแพงแสนกองทัพอากาศ และ ทรงสอบนักบินเครื่องบินพาณิชย์ได้ใบอนุญาตจากยุโรป

“นี่คือ สมเด็จพระราชินีฯ ที่พวกเรารักจากพระอัจฉริยภาพ และ พระราชอัธยาศัย ทรงอ่อนน้อมเป็นกันเอง จากรอยยิ้มที่ พวกเราเห็นจากข่าวพระราชสำนัก จึงไม่น่าแปลกใจ ที่พระองค์เป็นที่รักของปวงชนชาวไทย”

พันเอกวันชนะ กล่าวด้วยว่า ส่วนงานที่ได้รับมอบหมายคือ “โคกหนองนาโมเดล”ฟาร์มตัวอย่าง ในโครงการฟาร์มตัวอย่างต้านภัยโควิด -19 ที่พระราชทานมาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ กับสมเด็จพระราชินีฯเป็นการสืบสาน รักษาต่อยอดจากในหลวงรัชกาลที่ 9 และเป็นไปตามพระปฐมบรมราชโองการของในหลวงรัชกาลที่ 10 มีการจัดทำฟาร์มสาธิตขึ้นในกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ( ร.11 รอ.) ซึ่งไม่ใช่แค่การขุดบ่อ เลี้ยงปลา ปลูกพืช ผัก แต่มีการออกแบบทางวิศวกรรม มีการปลูกพืชไม่เหมือนกัน แต่มีหลักการทางวิศวกรเช่นเดียวกัน ว่าขุดบ่อตรงไหน ขุดคลองไส้ไก่ให้น้ำไหลผ่านต้นไม้อะไรบ้าง แบ่งพื้นที่ปลูกพืชอย่างไร

โดยมีการกระจายไปทำในพื้นที่ที่มีการตัดไม้ทำลายป่า เช่น น่าน เชียงใหม่ เพื่อให้ประชาชนเห็นว่าเมื่อทำไปแล้วจะเห็นความชุ่มชื้นของป่าคืนป่า และ เห็นผลผลิตใน 1-3 ปี คนที่ทำก็จะได้รายได้กลับเข้ามาสู่ตนเอง พร้อมทั้งวิเคราะห์ว่าปีที่5-6 จะได้รายได้ต่อปีเท่าไร เมื่อก่อนนี้ใช้แนวคิดพลังจอบเปลี่ยนโลก ลงแขกช่วยแรงกัน ด้วยแรงคน แต่ในปัจจุบันพระองค์ให้หน่วยทหารทั่วประเทศ ไปสนับสนุนในเรื่องเครื่องมือเจาะ ขุด ลงไปได้ ให้ขุดเลย ก็จะเป็นฟาร์มที่เกิดเร็วขึ้น เห็นผลดีขึ้น กุศโลบาย คือให้เกิดผลแห่งความสามัคคีของคนในชาติ โดยทุกภาคส่วนที่เข้ามาช่วย เราเห็นเรื่องราวในอัจฉริยภาพของท่านต่อไป

“หลังจากนี้พวกเราในฐานะทหารมีหน้าที่ 3 ประการ 1.เรียนรู้อย่างถ่องแท้ 2.นำสิ่งที่เรียนรู้ประชาสัมพันธ์ให้เกิดผล 3.บอกต่อถ่ายทอดต่อส่วนรวม เพื่อ รักษาสถาบันกษัตริย์ให้อยู่กับสังคมไทยต่อไป การบรรยายให้เข้าใจในเหตุการณ์ในแต่ละยุคเป็นเรื่องที่ยาก ทหารอีก20 ปีข้างหน้าก็จะเปลี่ยนจากปัจจุบันนี้ ดังนั้นแนวความคิด บริบทสิ่งแวดล้อมจะเปลี่ยนแปลงไป แต่การดำรงไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เราพากเพียรอธิบายให้คนรุ่นหลังได้รู้บางครั้งต้องอาศัยวิธีการ เราจะอธิบายให้ลูกหลานให้ฟังแบบที่เป็นพวกเดียวกันรู้เรื่องคงไม่ได้ เพราะบริบทและสิ่งแวดล้อมของเขาต่างจากเรา จึงเป็นเรื่องเทคนิคที่ต้องใช้อธิบายต่อไปให้คนรุ่นหลังฟัง” พ.อ.วันชนะกล่าว