posttoday

ป้าวัย49ถูกสวมสิทธิบัตรปชช.กว่า20ปีไม่มีโอกาสรับสวัสดิการภาครัฐ

27 เมษายน 2564

สุรินทร์-ส่องความทุกข์ป้าวัย49ถูกสวมบัตรประชาชนนานกว่า20ปีขาดโอกาสรับเงินเยียวยาภาครัฐ ตระเวนร้องทุกข์หลายหน่วยงานยังไม่คืบ

น.ส.วรวลัญช์ สท้านอาจ อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 230 ม.15 ต.ดงลิง อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ พามารดาคือนางแหลม ประทุมแก้ว อายุ 49 ปีเข้าพบนายนคพล บุญโสดากร นักวิเคราะห์นโยบายและแผน ศูนย์ดำรงธรรม จ.สุรินทร์ เพื่อสอบความเรื่องที่นางแหลมถูกลักลอบสวมบัตรประจำตัวประชาชน ได้รับความเดือดร้อนขาดโอกาสรับเงินเยียวยาจากรัฐทุกโครงการถูกสบประมาทล้อเลียนหาว่าเป็นคนเถื่อน คนต่างด้าว ทั้งที่เป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งได้ยื่นเรื่องขอความเป็นธรรมไปแล้วเมื่อเดือนมี.ค.2564

ป้าวัย49ถูกสวมสิทธิบัตรปชช.กว่า20ปีไม่มีโอกาสรับสวัสดิการภาครัฐ

นางแหลม มารดาเปิดเผยว่าเดิมเป็นคน อ.สังขะ จ.สุรินทร์ได้แต่งงานกับสามีที่อยู่ จ.กาฬสินธุ์ ต่อมาป่วยเป็นเบาหวานไปหาหมอที่โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ พยาบาลสอบถามว่าทำไมไม่ทำบัตรสวัสดิการของรัฐจึงติดต่อไปยังที่ว่าการอำเภอกมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ แต่เจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่าไม่สามารถย้ายได้ เพราะในระบบพบว่ามีชื่อ นามสกุล และเลข 13 หลักตรงกัน 1 คนน่าจะมีการสวมสิทธิบัตรประชาชน เจ้าหน้าที่จึงแจ้งให้ไปติดต่อที่ที่ว่าการอำเภอสังขะ จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นสถานที่ทำบัตรประชาชนครั้งแรก จึงได้รู้ว่าถูกสวมสิทธิบัตรประชาชนและได้บอกกับลูกสาวพากันไปแจ้งความบันทึกประจำวันได้รับคำปรึษากับนายนคพลจะพาที่ศาลยุติธรรมเพื่อสอบถามเรื่องดังกล่าวอีกทาง

ป้าวัย49ถูกสวมสิทธิบัตรปชช.กว่า20ปีไม่มีโอกาสรับสวัสดิการภาครัฐ

น.ส.วรวลัญช์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 19มี.ค.64 พาแม่ไปแจ้งความที่สภ.สังขะ จ.สุรินทร์ เข้าพบกับร.ต.ท.ฐากูร กะการดี พนักงานสอบสวน แจ้งว่า เมื่อปี พ.ศ.2543 เจ้าหน้าที่นายทะเบียนของอำเภอกมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ ได้บอกให้ น.ส.แหลมมารดาของตน ไปย้ายทะเบียนบ้านที่ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ เพราะเลขบัตรประชาชนขึ้นเป็นสองชื่อ ต่อมาระหว่างช่วงปี 2544-2545 น.ส.แหลมได้เดินทางมาติดต่อทำเรื่องย้ายทะเบียนบ้านที่ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ โดยเจ้าหน้าที่ อ.สังขะ ก็ได้สอบถามข้อมูล น.ส.แหลม ประทุมแก้ว แล้วบอกว่าข้อมูลยังไม่เพียงพอต่อการทำเรื่องย้าย

ป้าวัย49ถูกสวมสิทธิบัตรปชช.กว่า20ปีไม่มีโอกาสรับสวัสดิการภาครัฐ

ปี พ.ศ.2561-2562 น.ส.แหลมเดินทางไปติดต่อทำเรื่องย้ายอีกครั้งที่ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ พร้อมด้วยญาติพี่น้องอีก3 คน ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้สอบถามข้อมูลทั้งหมด แต่ก็ยังไม่สามารถทำการย้ายได้ กระทั่งเมื่อวันที่ 17 มี.ค.64 น.ส.แหลมเดินทางไปที่ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ อีกครั้ง เจ้าหน้าที่ อ.สังขะ ก็ได้สอบถามข้อมูลในลักษณะเดิมพบว่าบุคคลที่ใช้ข้อมูลส่วนตัวของน.ส.แหลมชื่อนางเดือน มีแก้ว (ทำการเปลี่ยนชื่อใหม่ )ทำให้ น.ส.แหลม เสียสิทธิ์ต่างๆดังนั้นจึงประสงค์ต้องการดำเนินคดีตามกฎหมายกับนางเดือนให้ถึงที่สุด