posttoday

"เป็นโรคที่ต้องเดียวดายจริงๆ"เปิดใจน้องในวันที่พี่ชายต้องจากไปเพราะโควิด

25 เมษายน 2564

ฌาปนกิจศพผู้เสียชีวิตรายแรกของโคราชเป็นไปอย่างเรียบง่ายไม่มีพิธีสงฆ์ มีเพียงญาติ 3-4คน น้องผู้ตายเล่าเรื่องราวการเจ็บป่วยของพี่ก่อนเสียชีวิต เผยแม้ลมหายใจสุดท้าย ก็ไม่มีโอกาสได้พบญาติ ไม่มีโอกาสได้ร่ำลา

นี่เป็นภาพขณะเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลปากช่องนานา นำศพชายอายุ 34 ปี ซึ่งเป็นผู้เสียชีวิตรายแรกของ จ.นครราชสีมา ขึ้นสู่เมรุวัดจันทึก ต.หนองสาหร่าย อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เพื่อประกอบพิธีฌาปนกิจศพตามประเพณี หลังจากที่ชายคนดังกล่าวติดเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 14 เม.ย.64 แล้วเข้ารับการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลปากช่องนานา ก่อนที่จะถูกส่งไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เมื่อวันที่ 15 เม.ย.64 แต่เป็นบุคคลเสี่ยงสูง เพราะมีน้ำหนักมากถึง 140 กิโลกรัม เมื่อไวรัสโควิด-19 ลงปอด ทำให้อาการความดันโลหิต และโรคเบาหวานกำเริบ จนเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 23 เม.ย.64

บรรยากาศการฌาปนกิจศพ เป็นไปด้วยความเรียบง่าย ไม่มีพิธีสงฆ์ใดๆ และไม่มีแขกมาร่วมพิธี มีเพียงญาติแค่ 3-4 คน เท่านั้น ที่มายืนดูพิธีอยู่ห่างๆ ส่วนเจ้าหน้าที่ได้สวมใส่ชุด PPE ป้องกันเชื้อโรค

ทั้งนี้ภายหลังจากที่การฌาปนกิจศพผู้ติดเชื้อที่เสียชีวิตรายแรกของ จ.นครราชสีมา ก็ได้มีผู้ใช้ชื่อว่า “แบงค์” ซึ่งเป็นน้องชายของผู้เสียชีวิต ได้โพสต์ในเฟสบุ๊คส่วนตัวเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดว่า

“ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่ตายแบบไหน ไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าพี่เลย นำศพลงจากรถ ขึ้นเมรุเผาเลย แค่ก้าวขาออกจากบ้านก็มีค่าใช้จ่ายแล้ว คนที่ไม่เป็นโควิคไม่รู้หลอกว่า มันทรมานมากแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นการกักตัว การอยู่ร่วมกับคนอื่น หรือ การใช้ชีวิตประจำวัน... สายตาที่คนอื่นมองว่า #เราเป็นตัวเชื้อโรค คนที่ยังไม่ติด ก็ดีแล้วคับ อยากให้ระวังตัวให้มากๆ

ใช่ครับบ้านผมติดโควิด คือพี่ชายที่เสียชีวิต แม่ผม ภรรยาพี่ชาย (ทำงานในตลาดปากช่อง ต้องออกจากงานด้วย) แล้วก็ลูกอีก 3 คน มีอายุ 2,4 และ 7 ขวบ ลำบากต้องโดนกักตัว ตอนนี้ทำอยู่ในการรักษา ทั้งหมดในข้างต้น แม่ผม รักษาอยู่ที่ รพ.มหาราช เนื่องจากปอดมาการติดเชื้อเล็กน้อย เลยต้อง Refer ไปพักรักษาที่นั้น ส่วนภรรยาพี่ชายและหลานๆ ทั้ง 3 ได้ พักรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ปากช่องนานา (วันเผา ลูกๆกับเมีย ก็มาไม่ได้ เพราะต้องกักตัว) คนเราทุกคนไม่คิดว่าตัวเองจะติดเชื่อบ้าๆ นี่หรอก เพราะ ทุกคนก็กลัวเชื้อโควิดกันอยู่แล้ว อีกอย่าง.. ผมไม่คิดด้วยบ้านผมจะเป็นคนแพร่เชื้อ เพราะที่บ้านส่วนมากจะไม่ค่อยออกไปไหนเลย (เทศบาล29) หาเช้ากินค่ำ พวกเราระวังกันอยู่แล้ว ยังติดเชื้อนี้มาได้

ติดมาจากไหน ด้วยจากสาเหตุต่างๆ ซึ่งก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ แต่คิดว่าติดมาก่อนไปเที่ยวเกาะล้าน พัทยา (วันที่ 7 เม.ย.) ที่ขับรถไปกับครอบครัว แฟน ลูก 3 คน และแม่ สงสัยอยู่หลายอย่าง เพราะพี่ชายเป็น รปภ. อยู่ที่โรงแรมในเขาใหญ่ ต้องเจอคนต่างถิ่นตลอด และอีกอย่างที่บ้านรับซักผ้า ไม้รู้ว่าติดมาจากคนที่ไปงานปาร์ตี้วันเกิด หรือไม่

อาการ ก่อนหน้านี้ปกติ ไม่มีอาการ อยู่กับญาติๆ ครอบครัวเหมือนเดิม จนวันที่ 14 เม.ย. เริ่มมีอาการไข้ เหมือนไข้หวัดปกติทั่วไป คิดว่าเป็นไข้หวัดธรรมดา พอเริ่มไอมากขึ้น ไอหนัก และสุดท้ายลิ้นเริ่มไม่รู้รส จึงเอ๊ะใจ รีบไปหาหมอ ที่ รพ.ปากช่องนานา บอกหมดติดเชื้อโควิด จึงขับรถส่วนตัวไป รพ.

ผมและครอบครัวผม รวมทั้งพ่อ พี่ๆน้องๆ ภายในบ้านก็ได้กักตัว กันทั้งหมด 14 วันครบ พร้อมกับไปตรวจเรียบร้อยแล้วถึง 2 ครั้ง ผลคือ #ไม่พบเชื้อ ทางผมพร้อมรับผิดชอบต่อสังคม

เนื่องจาก ครอบครัวของผมมีความเสี่ยงสูงมาก.. ทางเราเลยไปตรวจหาเชื้อ หลังจากนั้นก็กลับบ้านมากกักตัวกันเลย อยากให้สังคมเข้าใจเรา ให้โอกาสเรา ผมสงสารลูกๆ หลานๆ ผม ต้องโดนถูกมองเป็นตัวเชื้อโรค สังคมรังเกียจ

คนที่ไม่ได้เจอสถานการณ์แบบผม คงไม่รู้หรอกครับมันทรมานมากแค่ไหน การกักตัวมันก็น่าเบื่อพอแรงแล้ว จิตตกไปหมด ล้างมือเหมือนคนเป็นบ้า ล้างแล้ว ล้างอีก ฉีดแอลกอฮอร์ ฉีดอีก นอน กินข้าว อาบน้ำ ดูหลัง เล่นเกมส์ ทำแบบนี้ 14 วัน เดิมๆ ซ้ำๆ น่าเบื่อมาก

พอรู้ว่าพี่ชายผมเสีย คือทางโรงพยาบาลมหาราช ได้โทรให้เราไปรับศพแล้วไปทำพิธีได้เลย ทาง รพ.ได้นำศพห่ออย่างดี 3 ชั้น ด้วยถุงปลอดเชื้อ

ผมสติหลุด คิดอะไรไม่ออก จะเอายังไง เอกสารจะเตรียมยังไง ไปกี่โมง ต้องเดินเรื่องยังไง พิธีศพ ต้องทำยังไง โลงต้องแบบไหน ราคา เท่าไหร่ แล้วเงินที่จะต้องทำศพหาที่ไหน เพราะการทำศพ อย่างที่บอกคับ มีค่าใช่จ่ายทุกอย่าง

1.รพ.มหาราชฯ ให้ญาติหารถมารับศพ พร้อม วัดที่จะทำการเผาเองแต่ ไม่มีวัดไหนรับเลย... เลยนึกขึ้นได้ เคยบวชอยู่วัดจันทึก มีพระพี่เลี้ยง คือแกให้คำแนะนำ ช่วยเหลือเต็มที่ จัดแจงเรื่องให้หมดทุกอย่าง ทางผมเลยได้รับศพ มาเผาที่นี่

2.รถรับศพผมจะหาที่ไหนดี แต่ได้ราคา 6,000 บาท เพราะเป็นศพติดโรคเลยมีราคาสูง พอบ่ายๆ โรงพยาบาลนานา รู้ว่าพี่ชายเสีย เลยได้ติดต่อมาจะมารับให้เอง จึงได้รถโรงพยาบาลนานา มารับแทน พระเชิญดวงวิญญานยังไม่มี พวกเราพี่น้องต้องทำกันเอง

หลังจากตอนเช้า ผมต้องให้แฟนเป็นคนขับรถให้ทั้ง ไป/กลับ ช่วยเดินเอกสารทุกอย่าง เพราะ สภาพจิตใจของผมนั้น มันไม่ดีเอาซะเลย รับศพกลับมาถึงวัด เราก็ทำการเผาเลย และได้สวดศพเป็นบทสั้นๆ เท่านั้น ส่วนเงินที่ทุกคนช่วยบริจาค ผมจะรอแม่มาทำบุญอีกครั้ง

ตอนป่วย 8-9 วัน อยู่ห้อง ICU ห้ามเยี่ยมเด็ดขาด ไม่ได้พบญาติ ลูก เมีย พ่อแม่พี่น้องเพื่อน ต้องอยู่คนเดียวกับเครื่องช่วยหายใจ และสายระโยงระยงทั่วร่าง เพื่อประคองชีวิต หลังจากที่เครื่องช่วยหายใจทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ระบบต่างๆ ในร่างกายเริ่มล้มเหลว ทีละระบบ จนกระทั่งลมหายใจสุดท้าย ไม่มีโอกาสได้พบญาติ ไม่มีโอกาสได้พูดคุย ไม่มีโอกาสได้ร่ำลา ไม่มีโอกาสได้พูดความในใจใดๆ

พยาบาลประจำหวอดแจ้งว่า "คนไข้น่าจะมีห่วง มีกังวล เพราะจากไป...แบบไม่หลับตา" การบรรจุศพ ก็ดำเนินการเสร็จจากห้อง ICU โดยหุ้มห่อถึง 3 ชั้นปิดผนึกสนิท ห้ามเปิดเด็ดขาด ไม่มีโอกาสได้พบหน้าเป็นครั้งสุดท้าย พิธีศพก็ไม่มีจัด เคลื่อนศพออกจาก รพ. และจัดพิธีฌาปนกิจทันที ไม่มีพิธีสวด มีเพียงพิธีทำบุญ 1 วัน ในวันรุ่งขึ้นเท่านั้น

เป็นโรคที่ต้องเดียวดายจริงๆ ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เดินทำเรื่องไปร้องไห้ไป คือแม่งโคตรสงสาร คิดในใจ ทำไมมึงต้องเจออะไรแบบนี้ ผมเป็นคน ผมมีหัวใจ ผมเสียใจเป็น ผมร้องไห้ได้ ตอนนี้ผมพยายามทำใจอยู่ ใครไม่เกิดขึ้นกับตัว คงไม่รู้หรอกคับ

สุดท้ายนี้ ผมขอบคุณทุกกำลังใจ และคนค่อยช่วยเหลือ ขอให้การร่วมบุญในครั้งนี้ ส่งผลให้ครอบครัวของทุกท่านมีความสุข หมดโรคภัย มีทุกข์ขอให้หมดทุกข์ มีสุขขอให้สุขยิ่งๆ ขึ้นไป