posttoday

จับเข่าคุยมือปราบฆาตกรต่อเนื่องชื่อกระฉ่อนโลก"The Serpent"

16 พฤษภาคม 2564

.

โดย วัสยศ งามขำ

*********************

แทบไม่น่าเชื่อว่าตำรวจ Interpol ไทย ที่ดิ้นรนทำคดีจนสามารถทำให้ออกหมายจับแดง ผู้ต้องหาฆาตกรต่อเนื่องชื่อดัง Charles Sobhraj ที่ Netflix นำไปสร้างเป็นซีรีย์โด่งดังจะยังมีชีวิตอยู่ด้วยวัย 90 ปี ทุกวันนี้ พล.ต.ต.สมพล สุทธิมัย ได้ปล่อยวางจากการตามล่าตัวอาชญากรสำคัญรายนี้ ให้มาดำเนินคดีในบ้านเราไปแล้ว แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาอยากให้ Sobhraj กลับมาถูกดำเนินคดีในเมืองไทย และแทบไม่น่าเชื่อตำรวจคนนี้เองที่ทำให้ Interpol ไทยก้าวสู่สังคมโลกอย่างเต็มรูปแบบเมื่อ 46 ปีก่อน

แม้ในซีรีย์ The Serpent ที่ผลิตโดย BBC ร่วมมือกับ Netflix บทบาทของ พล.ต.ต.สมพล จะไม่ใช่ตัวละครที่สำคัญ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้ตำรวจไทยในสมัยนั้น ซึ่งถูกวิจารณ์ย่อยยับว่าเป็นวงการสีกากีที่เน่าเหม็นเต็มไปด้วยการทุจริต สามารถออกหมายจับแดงของตำรวจสากล เพื่อตามล่า Sobhraj ชาวฝรั่งเศส-เวียดนาม และแฟนสาว Marie-Andrée Leclerc ชาวฝรั่งเศส-แคนนาดา สองฆาตกรต่อเนื่องคนสำคัญของโลก จนในที่สุดตำรวจอินเดียสามารถจับกุมตัวเอาไว้ได้แม้ว่าในที่สุดจะไม่สามารถนำตัวกลับมาดำเนินคดีในเมืองไทยก็ตาม เพราะขณะนี้ตัวคนร้ายรายนี้ถูกโทษจำคุกตลอดชีวิตอยู่ในเรือนจำเนปาล ในขณะที่แฟนสาวของเขาปัจจุบันเสียชีวิตไปนานหลายสิบปีแล้วด้วยโรคมะเร็งในเรือนจำแคนนาดา

จับเข่าคุยมือปราบฆาตกรต่อเนื่องชื่อกระฉ่อนโลก"The Serpent"

“จริงๆตั้งแต่ตอนนั้น ผมอยากให้เขามาติดคุกในเมืองไทยนะ เขาต้องชดใช้เพราะฆ่าชิงทรัพย์ขโมยพาสปอร์ตชาวต่างชาติไว้จำนวนมาก แต่ตอนนี้ผมก็ปล่อยวางแล้วล่ะ (ยิ้ม) คดีในประเทศไทยมันก็ขาดอายุความไปนานแล้ว” สมพล ในวัย 90 กล่าวที่คอนโดมิเนียมที่พักในปัจจุบันย่านฝั่งธนบุรี เขายังคงสุขภาพแข็งแรงและใช้ชีวิตเดินทางระหว่างกรุงเทพฯ-ปารีสกับภรรยาชาวฝรั่งเศสวัย 84 ปี ที่แต่งงานกันมานานกว่า 60 ปี Nicole Suthimai  

The Serpernt เป็นซีรีส์ 8 ตอน ว่าด้วยเรื่องจริงของนายชาร์ล โสปราช เกิดที่ไซง่อนโตที่ฝรั่งเศส และกลายเป็นนักต้มตุ๋นและฆาตกรที่ออกล่าเหยื่อในอินเดีย เนปาล ปากีสถาน และไทย ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1970 ช่วงเวลาของ“Hippie Trail” หรือเส้นทางเดินทางแสวงหาของพวกฮิปปี้ โสปราช ใช้กรุงเทพเป็นฐานอยู่พักใหญ่ เช่าอพาร์ทเมนท์ชื่อ บ้านคณิต (แถวซอยศาลาแดง แต่ตอนนี้ถูกรื้อสร้างเป็นคอนโดมิเนียมไปแล้ว) และหลอกลวงนักเดินทางทางจากยุโรปและอเมริกา มอมยา กักขัง และฆ่าตายไปหลายศพอย่างโหดเหี้ยม ก่อนจะหนีออกนอกประเทศและไปจนตรอกที่เนปาล The Serpent ถ่ายทำในไทยแทบทั้งหมด รวมทั้งฉากที่เกิดขึ้นในปากีสถาน และเนปาลด้วย , ก้อง ฤทธิ์ดี นักวิจารณ์ภาพยนตร์ บอกเรื่องนี้ไว้บนเว็บไซต์ Sanook

โสปราช มีปมเรื่องตัวตน ด้วยความที่รู้สึกตัวว่าไม่ใช่ฝรั่ง ไม่ใช่เอเชีย ไม่ใช่อะไรเลย เขาใช้ชื่อปลอม สร้างตัวตนใหม่ตลอดเวลา แถมยังเกลียดพวกฮิปปี้มาก และแสดงอาการของคนเป็น psychoapth หรืออาการทางจิตที่ต่อต้านสังคมและไร้ความรู้สึกผิดชอบ

ทั้งนี้ นอกเหนือจากรายละเอียดของประเทศไทยแล้ว ยังวิจารณ์ถึงวัฒนธรรมต่างๆ รวมไปถึงความเน่าเฟะของระบบราชการตำรวจไทยในบางส่วน ทั้งเรื่องการรับสินบน, ความล่าช้าในการทำงาน,เส้นสาย ฯลฯ ก็ถูกนำเสนอตามความจริงของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ด้วย ซึ่งในคดีนี้คนที่มีความสำคัญและเป็นหนึ่งในตัวเอกของเรื่องคือ Herman Knippenberg, Dutch diplomat เพราะมีส่วนสำคัญในการขุดคุ้ยหาหลักฐานมัดตัว โสปราช และนำหลักฐานส่งต่อให้พล.ต.ต.สมพล ซึ่งตอนนั้นเป็นสารวัตร กองการต่างประเทศ กรมตำรวจ จนสามารถจับกุมตัวคนร้ายรายนี้ไว้ได้

เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีสำคัญ และ Bangkok Post มีส่วนสำคัญในการรายงานข่าวนี้ต่อสังคมโลกในปี 1975-1976 เราจึงติดตามตัวจนพบกับ พล.ต.ต.สมพล เพื่อพูดคุยกับเขาถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อ 46 ปีก่อน เขากล่าวด้วยท่าทางผ่อนคลายว่า มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับคนต่างชาติมาถูกฆ่าในเมืองไทยหลายคน เป็นเรื่องของที่เกี่ยวกับตำรวจไทยโดยตรง เมื่อก่อนตำรวจไทยทำงานลำบากเพราะมีปัญหาเรื่องภาษา ส่วนหนึ่งจึงทำให้คนร้ายหลุดรอดไปได้เพราะตำรวจไม่สามารถสื่อสารได้จึงไม่ให้ความสำคัญกับการจับกุมคนร้าย เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนร้ายหนีออกไปต่างประเทศได้และไม่ได้ถูกดำเนินคดีในเมืองไทย

เขาเล่าถึงชีวิตของเขาว่า แรกเริ่มเดิมทีเป็นนักศึกษานิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ แต่พบกับจุดพลิกผันเมื่อไปมีเรื่องทะเลาะวาท จึงอยากที่จะเป็นตำรวจ จึงสอบเข้าเป็นนายสิบตำรวจ หลังจากเป็นตำรวจสันติบาลได้สองปี จึงสอบชิงทุน กพ. ไปเป็นนักเรียนนายร้อยที่อังกฤษ ตอนแรกต้องไปเรียนภาษาก่อนเข้าโรงเรียนทหารก่อน ขั้นตอนเป็นแบบนั้น จากนั้นจึงได้เข้าเรียนโรงเรียนนายร้อยที่อังกฤษ รวมแล้วเรียนอยู่นานถึง 4 ปี จึงกลับมาเมืองไทยมาเป็น ร.ต.ต. ตำแหน่วรองสารวัตรสันติบาล ซึ่งเมื่อคิดแล้วอยู่สันติบาลไม่น่ารุ่งจึงขอย้ายมาอยู่ตำรวจสากล เพื่อทำงานประสานกับต่างประเทศซึ่งตอนนั้นตำรวจสากลไทยมีอยู่แค่ 4 คนเป็นแค่แผนกเล็กๆในกรมตำรวจ ผมเป็นรองสารวัตรคุมอเมริกา กับยุโรป

จับเข่าคุยมือปราบฆาตกรต่อเนื่องชื่อกระฉ่อนโลก"The Serpent"

เขาเล่าต่อว่า ตำรวจสากลสมัยนั้นไปประชุมอย่างเดียว กลับมาก็พิมพ์รายงานเก็บๆไปเปล่าประโยชน์ ไม่มีกิจกรรมน่าสนใจ ตนจึงปรึกษากับเจ้านายว่าขอทำงานด้านสอบสวนระหว่างประเทศไปด้วย เมื่ออนุญาตตนก็เริ่มติดต่อสถานทูตญี่ปุ่น เพื่อขอความช่วยเหลือ ด้านวิทยุสื่อสารและเครื่องเทเล็กซ์ จึงเริ่มติดต่อกับตำรวจสากลประเทศต่างๆได้สะดวกขึ้น จากเดิมใช้จดหมายใช้เวลานานมาก จากนั้นตนก็เริ่มได้เดินทางไปประชุมตำรวจสากลที่ฝรั่งเศส และประเทศอื่นๆวันๆหนึ่งตนต้องแปลเอกสารวันหนึ่ง 70 กว่าหน้าให้กับเจ้านายที่ไปประชุมมา

พล.ต.ต.สมพล บอกว่า เริ่มทำคดี Serpent ตอนที่มียศเป็น พ.ต.ท. ตำแหน่งเป็น รองผู้กำกับการตำรวจสากล เป็นหัวหน้าตำรวจสากล ก่อนจะรู้คดีนี้ภรรยาตนทำงานยูเอ็น แล้วนั่งทานข้าวด้วยกันตอนเย็น ภรรยาก็บอกว่าได้ข่าวจากคนสนิทว่า มีชาวต่างชาติหายตัวไป และมีข่าวว่ามีคนต่างชาติถูกฆ่าตายในคอนโดกรุงเทพ 10 กว่าคน ตนก็คิดว่าจะเป็นไปได้เหรอ แต่ภรรยาก็บอกว่ารู้จากเพื่อนภรรยาเขาได้ข่าวมา ซึ่งตอนนั้นตำรวจไทยเราไม่รู้เรื่องอะไรเลย จนกระทั่งเพื่อนภรรยามาขอร้องให้ช่วยตามหาญาติเขาคนหนึ่งเป็นผู้หญิงต่างชาติ หายตัวไปหลังเดินทางมาเมืองไทยต่อมาผมเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ มีรูปผู้หญิงคนหนึ่งนอนตายที่ชายหาดพัทยา ตนก็นึกถึงที่ภรรยาตนถามและโทรศัพท์ไปบอกเขาว่า ลองให้เพื่อนไปดูศพที่ รพ.ตำรวจ

เมื่อไปชี้ตัวแล้วก็พบว่าเป็นญาติเขาจริงๆ ขณะนั้นเองตำรวจสากลสำนักงานใหญ่ ก็แจ้งเรามาให้ช่วยสืบเรื่องศพชาวต่างชาตินี้ด้วย แล้วก็ให้สืบหาอีกคนหนึ่ง เป็นแฟนกันชาวตุรกี ทั้งคู่มาเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านปทุมวัน เมื่อตนไปติดต่อขอเข้าไปดูห้องพักของคนทั้งคู่ก็พบว่าไม่มีใครอยู่แต่ห้องยังไม่ได้เช็คเอ้าท์ จากนั้นไม่นานตนก็ลาพักร้อน ไปที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยให้เพื่อนตำรวจรักษาการแทน ขณะที่อยู่ที่เชียงใหม่ไปเดินตลาดสดก็เห็นหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ เห็นรูปผู้เสียชีวิตเต็มหน้าหนึ่งเลย จึงรีบเดินทางกลับทันทีเพราะว่าเป็นเรื่องที่ตนรับผิดชอบ และเชื่อได้เลยว่าน่าจะเป็นคดีเดียวเกี่ยวพันกับที่ตนทำคดีอยู่ด้วย เมื่อกลับไปถึงถามเพื่อนว่าได้ติดต่อเรื่องนี้หรือยัง เพื่อนก็บอกว่าเจ้าหน้าที่สถานทูตเนเธอร์แลนด์ แจ้งมาว่ามันเป็นเรื่องโจ๊กมันเป็นนิยาย 

พล.ต.ต.สมพล เล่าต่อว่า มันไม่ใช่อย่างนั้นแน่เพราะผมมีแฟ้มที่รวบรวมไว้ จึงไปขอพบกับ พล.ต.อ.มนต์ชัย พันธุ์คงชื่นอธิบดีกรมตำรวจในสมัยนั้น และบอกว่ามันเป็นเรื่องจริง อธิบดีตำรวจจึงได้ให้ตนเริ่มทำคดี และให้ตั้งเป็นคณะทำงานขึ้นมาสืบสวนสอบสวนมีตำรวจจากหลายหน่วยงานมาร่วมกัน หลังจากนั้นตนกลับไปไปสถานทูตเนเธอร์แลนด์อีกครั้งตอนนั้นผมพบกับ Herman Knippenberg เจ้าหน้าที่ทูตเป็นครั้งแรกและยังไม่รู้ว่าเขาเป็นคนที่รวบรวมหลักฐานคดีนี้ไว้ทั้งหมดแต่เชื่อว่าเขารู้เรื่องราว ตอนนั้นเขาก็ทำท่าไม่พอใจ ไม่อยากพูดกับตน อาจจะเพราะไม่ไว้ใจตำรวจไทยในยุคนั้น แต่ในที่สุดผมก็ทำให้เขาเชื่อมั่นได้

จับเข่าคุยมือปราบฆาตกรต่อเนื่องชื่อกระฉ่อนโลก"The Serpent"

“ตอนนั้นแสดงว่า Knippenberg ไม่แฮปปี้กับตำรวจไทยเลย เพาะก่อนหน้านี้ตำรวจไทยทำที่เริ่มทำคดีนี้แล้ว แต่แล้วก็ปล่อยตัว โสปราช ไป ซึ่งเราก็พบว่าตอนนั้นตำรวจกองปราบฯหละหลวม ไม่ตรวจสอบพาสปอร์ตของคนร้ายให้ดีเพราะเป็นพาสปอร์ตปลอม เอารูปมาปะไว้ จึงไม่สามารถยืนยันตัวตนคนร้ายได้ว่าเป็นใครกันแน่ จึงปล่อยตัวไปตำรวจยุคนั้นอาจจะไม่ค่อยมีความรู้ คงอาจจะเห็นว่าชื่อไม่ตรง แล้วก็ไม่ค่อยเก่งภาษาอังกฤษ โสปราช จึงถูกปล่อยไป” พล.ต.ต.สมพล กล่าว และบอกว่า มารู้ภายหลังด้วยว่า โสปราช ไปคุยกับคนที่มาเลเซียหลังจากหนีออกจากไทยไปได้เพราะว่าจ่ายเงินสินบนให้ตำรวจไทยไป จึงทำให้หลุดรอดคดีออกมาได้ก่อนที่หมายจับจะออกมามีผลทางกฎหมาย

อย่างไรก็ตามในที่สุดตอนนั้น Knippenberg ก็มอบเอกสารทางคดีทั้งหมดให้กับตน คดีก็เริ่มคืบหน้าสามารถหาพยานพิสูจน์จนพบว่าทั้งสองคน โสปราช และ อังเดร มารี มีความผิดจริงฐานฆาตกรรมชาวต่างชาติจำนวนมากในเมืองไทยก็ออกหมายจับแจกจ่ายไปทั่วโลก ตำรวจทั่วโลกเริ่มให้ความสำคัญกันติดตามไล่ล่า ส่วน โสปราช ก็หลบหนีออกจากเมืองไทยไปก่อนหน้า ใช้พาสปอร์ตปลอมเดินทางไปทั้งยุโรป และหลายประเทศในเอเชียใต้ ก่อนที่จะถูกจับกุมที่อินเดีย จนพ้นโทษออกมาก็เดินทางมาที่เนปาลและถูกจับกุมอีกครั้งเพราะฆ่านักท่องเที่ยวที่เนปาลด้วย ปัจจุบันยังถูกคุมขังอยู่ตามโทษจำคุกตลอดชีวิต

“ตอนนั้นเราเคยรู้สึกว่าอยากได้ตัวมาดำเนินคดีในไทย แต่มันไม่ได้แล้ว มันหมดอายุความแล้ว 20 ปี เราก็อยากได้ผมอยากได้สิ แต่เจ้านายบางคนต่อว่าผมซะอีกว่าจะไปเอามาทำไม เสียเงินเสียค่าใช้จ่าย ผมก็บอกว่าไม่ได้ครับท่านมันฆ่าคนในเมืองไทย ท่านไม่เชื่อผมก็ถามอัยการสิ ถามเขาดู ท่านก็ไปถามอัยการๆ ก็บอกว่า ไม่ได้ครับ ต้องเอามาให้ได้ แต่ในที่สุดก็เอามาไม่ได้ เท่าที่ผมรู้มาตอนเขาติดคุกที่อนเดียเขาอยู่อย่างราชามีเงินจ่ายเงินให้ผู้คุม เพราะเขาได้รายได้จากนักข่าวไปให้ตังค์มัน เพื่อขอประวัติเอามาเขียนประวัติ มันรวยเลย และมันก็กลัวกลับมาเมืองไทยมากทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้กลับมารับโทษที่เมืองไทย” พล.ต.ต.สมพล กล่าว

พล.ต.ต.สมพล กล่าวต่อว่า หลังจากคดีนี้ตนได้รับสองขั้นจากกรมตำรวจ และต่อมาก็ย้ายตนไปประจำอยู่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง 2 ปี เพื่อแก้ไขระบบต่างๆ ทั้งที่ตนก็ไม่อยากไปเพราะอย่างทำหน้าที่ตำรวจสากล เพราะตำรวจสากลไทยเป็นรูปเป็นร่างได้เพราะทำคดีนี้สำเร็จมีตัวตนที่แน่ชัด ตำรวจหลายประเทศให้ความสำคัญติดต่อกันมาเพื่อคลี่คลายคดีต่างๆ มีความสำพันธ์อย่างดีๆกับตำรวจสากลหลายประเทศเป็นรากฐานของตำรวจสากล หรือกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติในทุกวันนั้น ตอนนั้นตนก็ไปอยู่ ตม. หลายปีก่อนที่จะขอกลับมาเป็นรองผู้บังคับการกองการต่างประเทศ และขึ้นเป็นผู้บังคับการกองการต่างประเทศ อยู่นาน 5 ปี จนเกษียณราชการเป็นตำแหน่งสุดท้าย

จับเข่าคุยมือปราบฆาตกรต่อเนื่องชื่อกระฉ่อนโลก"The Serpent"

เขากล่าวต่อว่า ถึงตอนนี้ผมเกษียณแล้ว ผมไม่ยุ่งแล้ว แต่ Knippenberg ยังดูติดตามอยู่ เขาเป็นคนสนใจเรื่องนี้มากแต่ตอนนั้นเขาก็เกือบจะถูกให้ออกจากงาน เพราะสนใจแต่เรื่องนี้งานการไม่ทำ อย่างไรก็ตามตอนนี้พวกเราที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มาสนิทกับผมหมด ก่อนที่น่าจะมาเป็นซีรีย์ ทาง บีบีซี กับ เน็ตฟลิ๊กซ์ ก็เชิญตนกับภรรยาไปลอนดอนรวมทั้งคนอื่นๆ เพราะว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีด้วย อยู่ที่นั่นนาน 1 สัปดาห์ โดยออกค่าใช้จ่ายให้หมดพูดคุยเรื่องที่เกิดขึ้น ตอนแรกตนยังนึกว่าจะไปทำไม เพราะมันลืมหมดแล้ว แฟ้มผมที่ทำงานเด็กรุ่นใหม่หาไม่เจอแล้ว

อดีตนายตำรวจวัย 90 ปี บอกด้วยว่า ได้ดูหนังที่สร้างมาแล้ว ดูแล้วก็รู้สึกว่าบางทีมันก็มันไปตบแต่งบ้าง ตอนที่เขาถ่ายทำบางฉากที่เกี่ยวกับตัวของตน เขาชวนตนไปดูด้วย ได้พบกับ คุณตุ๊ย ธีรภัทร สัจจกุล ที่แสดงเป็นตัวตนเอง เขาบอกดีใจที่ได้เจอตนและเข้ามากราบ ฉากหนึ่งที่เขาต้องไปพบกับ โสปราช ในคุกที่อินเดีย ตนก็บอกว่าฉากนั้นคุณตุ๊ยดูนอบน้อมเหลือเกิน ในความเป็นจริงต้องขึงขัง ไม่ใช่ไปทำท่าอ่อน น้อม เพราะตนถือว่า กูไม่กลัวมึง เขาถึงยอมเปลี่ยนบทบาท ไม่ให้เสียชื่อตำรวจไทย ก็ทำให้หนังสมจริงมากขึ้น เพราะเป็นตัวตนของตนจริงๆ

“ผมอยากบอกตำรวจในยุคปัจจุบัน อยากให้ทำงานด้วยความตั้งใจ สนใจในหลักฐานต่างๆ ควรเก็บไว้ มันมีประโยชน์ ไม่ใช่ว่ารื้อแล้วก็ทิ้งไปหมดเลย คิดดูสิว่า ของกลางต่างๆ ที่ผมได้มา ตอนนี้หายไปหมดเลย กระเป๋าของกลางนี่ หายไปหมด ไม่มีใครเก็บไว้” พล.ต.ต.สมพล กล่าวเมื่อถูกถามว่าอยากบอกตำรวจไทยในปัจจุบันอย่างไรบ้างและเขายังกล่าวต่อว่า “ตำรวจไทยในสมัยก่อน ต่างประเทศเขาไม่ค่อยสนใจเรา ไม่เชื่อว่าศักยภาพของตำรวจไทยสามารถทำได้ เราก็ต้องแสดงให้เขาเห็น ว่าเราก็ทำได้ แล้วเราก็ไม่ต้องรับอามิสสินจ้าง นี่แหละที่เขาไปเขียนชมผม ซะเลิศลอยเลย เพราะเราไม่มีความจำเป็นต้องไปรับเงินนอกระบบแต่อย่างใด” ผู้การฯสมพล มือจับ The Serpent สุดยอดอสรพิษในอดีต กล่าวทิ้งท้าย