posttoday

ศาลพิพากษาเพิ่มโทษอดีตพระพรหมสิทธิคดีทุจริตเงินหลวง

23 มีนาคม 2564

ศาลอุทธรณ์ฯ พิพากษาแก้เพิ่มโทษอดีตพระพรหมสิทธิอีกกระทงร่วมกับอดีตผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติทุจริตงบหลวง จากคุก 36 เดือนเป็น 48 เดือน ปรับ 3.6 หมื่นโทษจำคุกคงรอลงอาญาไว้ 2 ปี

เมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แผนกคดีอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง คดีทุจริตการจัดสรรเงินงบประมาณ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) คดีหมายเลขดำ อท.251/2561 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 2 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายพนม ศรศิลป์ อายุ 61 ปี อดีตผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (ผอ.พศ.), นายชยพล พงษ์สีดา อายุ 65 ปี อดีตรอง ผอ.สำนักงาน พศ., นายณรงค์เดช ชัยเนตร อดีต ผอ.กองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา, นายพัฒนา สุอำมาตย์มนตรี อายุ 51 ปี อดีตนักวิชาการศาสนาชำนาญการ กองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา, พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขโข)หรือ นายธงชัย สุขโข อายุ 65 ปี อดีตพระราชาคณะเจ้าคณะรอง และอดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร รวมทั้งอดีตกรรมการมหาเถรสมาคม เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ร่วมกันเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์สินนั้นเสีย, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต, เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานกระทำความผิดดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147,157 ประกอบมาตรา 83, 86, 91

โดยอัยการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 24 ต.ค.61 พฤติการณ์สรุปว่า ระหว่างวันที่ 29 ต.ค.58 - 22 ก.ค.59 พวกจำเลยได้เบียดบังเอาเงินงบประมาณ ของสำนักงาน พศ.ประจำปี 2559 จำนวน 69,700,000 บาท (จากวงเงินงบประมาณประจำปี 2559 จำนวน 5,360,188,000 บาท) ไปเป็นประโยชน์ของตน โดยใช้วัดเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดรับโอนเงินด้วยการให้วัด โดยเจ้าอาวาส เสนอโครงการเพื่อรับเงินสนับสนุน ที่เบียดบังมาจากที่ได้มีการพิจารณาอนุมัติโครงการเงินอุดหนุนในโครงการอบรมคุณธรรมจริยธรรม จำนวน 37,200,000 บาท และโครงการศูนย์กลางเผยแผ่กิจการพระพุทธศาสนา จำนวน 32,500,000 บาท ซึ่งวัดสระเกศฯ ได้รับอนุมัติเงินไปเพียงวัดเดียว

โดยเมื่อวันที่ 11 เม.ย.61 พ.ต.ท.พงศพร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.สำนักงาน พศ. ได้แจ้งความดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวน ซึ่งมีการส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.ดำเนินการไต่สวนตามกฎหมาย ท้ายฟ้องอัยการยมีคำขอให้ศาลมีคำสั่งจำเลยที่ 1-5 ร่วมกันคืนเงินหรือใช้เงิน 69,700,000 บาท คืนแก่สำนักงาน พศ. ผู้เสียหายด้วย พร้อมขอให้ศาลนับโทษจำคุกนายพนม อดีต ผอ.พศ. จำเลยที่ 1 กับคดีหมายเลขดำ อท. 253/2561 , อท.254/2561 (ร่วมทุจริตการจัดสรรเงินงบ พศ.) ของศาลนี้ และพระพรหมสิทธิฯ อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ จำเลยที่ 5 ในคดีหมายเลขดำ อท.197/2561 (ร่วมฟอกเงิน) ของศาลนี้

ศาลชั้นต้น ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 ก.พ.63 ลงโทษ นายพนม อดีต ผอ.พศ.จำเลยที่ 1 จำคุก 2 กระทงรวม 2 ปี 12 เดือน และให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากคดีหมายเลขดำ อท.253/2561 ที่มีโทษจำคุก 20 ปีและโทษจำคุก 3 เดือน คดีหมายเลขดำ จส.2/2562 ของศาลนี้ด้วย ส่วนจำเลยที่ 2-4 รวม 3 กระทงเป็นจำคุกคนละ 3 ปี 18 เดือน สำหรับอดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ จำเลยที่ 5 ให้จำคุก 3 กระทงเป็นเวลารวม 36 เดือน และปรับ 27,000 บาท แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 5 ได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกนั้นให้รอการลงโทษ (รอลงอาญา) ไว้มีกำหนด 2 ปี ส่วนที่อัยการขอให้นับโทษจำเลยที่ 5 ต่อจากคดีหมายเลขดำ อท.197/2561 (ร่วมฟอกเงิน) นั้นขณะที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษานี้คดีดังกล่าวยังไม่มีคำพิพากษาจึงไม่อาจนับโทษต่อได้

ต่อมาอัยการโจทก์ และอดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ จำเลยที่ 5 ยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2-4 มีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 83 ตามฟ้องข้อ 2.3 อีกกระทงหนึ่ง จำคุกจำเลยที่ 2-4 คนละ 2 ปี โดยลดโทษให้จำเลยคนละหนึ่งในสี่ เป็นจำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน และเมื่อรวมกับโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วคงจำคุกจำเลยที่ 2-4 คนละ 4 ปี 24 เดือน

ส่วนอดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ จำเลยที่ 5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 86 ตามฟ้องข้อ 2.3 อีกกระทงหนึ่ง จำคุกมีกำหนด 1 ปี 4 เดือนและปรับ 12,000 บาท โดยลดโทษให้หนึ่งในสี่ เป็นจำคุกจำเลยที่ 5 เป็น 12 เดือนและปรับ 9,000 บาท เมื่อรวมกับโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วคงจำคุกจำเลยที่ 5 ทั้งสิ้น 48 เดือนและปรับ 36,000 บาท ซึ่งนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยส่วนของอดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ จำเลยที่ 5 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าสมควรรอการลงโทษให้แก่จำเลยที่ 5 มานั้น ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่ศาลอุทธรณ์ฯ มีคำพิพากษาแก้โทษจำเลยที่ 5 ให้จำคุก 48 เดือนและปรับ 36,000 บาท โดยระบุว่านอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น เท่ากับว่าโทษจำคุกดังกล่าวยังคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาชั้นต้น คือให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี

อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีนี้หากคู่ความจะยื่นฎีกา ก็จะต้องเป็นการขออนุญาตฎีกา ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 โดยมาตรา 42 กำหนดว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบให้เป็นที่สุด หากคู่ความประสงค์จะฎีกาต้องปฏิบัติตามมาตรา 44 ที่กำหนดให้ผู้ฎีกาต้องยื่นคำร้องแสดงเหตุที่ศาลฎีกาควรรับฎีกาไว้พิจารณาพร้อมกับคำฟ้องฎีกาด้วย