เปิดผลโพลชี้ คนไทยเครียด"ตกงาน" แนะรัฐเร่งแก้ก่อนทำเศรษฐกิจไทยหลับลึก
ดุสิตโพลเผยคนไทย 65.94% เครียดจากสถานการณ์ "ตกงาน" เผยมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น แต่เงินออมลดลง แนะหากไม่เร่งแก้ไขเศรษฐกิจไทยอาจหลับลึกจนไม่ตื่น
เมื่อวันที่ 21 มี.ค. 64 สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยผลสำรวจ เรื่อง ตกงาน ปัญหาใหญ่! ของคนไทย ณ วันนี้ โดยสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,155 คน กรณีการตกงานในช่วงโควิด-19 เป็นปัญหาใหญ่ที่หลายฝ่ายให้ความสำคัญ เพราะการตกงานนั้นกระทบต่อการดำเนินชีวิต ปัญหาทางการเงิน ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ปัญหาครอบครัว รวมถึงกระทบต่อภาพเศรษฐกิจใหญ่ของประเทศอีกด้วย สรุปผลได้ ดังนี้
1.สถานการณ์การเงินของประชาชนตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นอย่างไร
เพิ่มขึ้น
1.ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ/ยา/การป้องกันโควิด-19 38.65%
2.ค่าอาหาร/เครื่องดื่มรายวัน 22.59%
3.หนี้บัตรเครดิต 22.49%
ลดลง
1.เงินออม 47.10%
2.ค่าเสื้อผ้า/หน้า/ผม 36.40%
3.ค่าเดินทางรายวัน 26.39%
2.ในยามที่ลำบากต้องการใช้เงินฉุกเฉิน ประชาชนจะหาเงินจากแหล่งใด
อันดับ 1 นำเงินออม/เงินเก็บส่วนตัวออกมาใช้ 55.23%
อันดับ 2 ยืมจากคนในครอบครัว 42.57%
อันดับ 3 สินเชื่อธนาคาร 32.98%
อันดับ 4 ยืมจากเพื่อน/คนรู้จัก 27.70%
อันดับ 5 กดบัตรเงินสด 26.56%
3.ประชาชนคิดว่าสถานการณ์ “ตกงาน” ของคนไทย ณ วันนี้ เป็นอย่างไร
อันดับ 1 เกิดความเครียด/วิตกกังวล 65.94%
อันดับ 2 มีผลมาจากปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำที่สะสมมานาน 61.51%
อันดับ 3 ก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรม โจร ขโมย เพิ่มมากขึ้น 60.30%
อันดับ 4 การระบาดของโควิด-19 ทำให้คนตกงาน 59.25%
อันดับ 5 ทำให้เกิดปัญหาครอบครัว 53.00%
4.ประชาชนคิดว่ารัฐบาลจะช่วยแก้ปัญหาการ “ตกงาน” ได้อย่างไร
อันดับ 1 ให้มีการฝึกอาชีพ สร้างอาชีพเสริม 56.66%
อันดับ 2 จ่ายเงินชดเชย ช่วยเหลือเยียวยาอย่างรวดเร็ว ไม่ยุ่งยาก 49.52%
อันดับ 3 สนับสนุนให้แรงงานพัฒนาทักษะต่าง ๆ เพิ่มขึ้น 48.39%
อันดับ 4 ช่วยสร้างงานในท้องถิ่น/บ้านเกิด 47.08%
อันดับ 5 หางานพิเศษ/งานเสริม ระหว่างรอหางานหลัก 46.30%
น.ส.พรพรรณ บัวทอง นักวิจัย สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่า ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังมีโควิด-19 ตัวเลขการตกงานของคนไทยก็ไม่ได้อยู่ในสภาวะที่สบายใจได้เท่าใดนัก เมื่อ โควิด-19 เข้ามาจึงเป็นเหมือนตัวเร่งให้ยอดคนตกงานพุ่งสูงขึ้น ปัญหาตกงานจึงเป็นปัญหาใหญ่ของคนไทย ณ วันนี้ และควรจะต้องเป็นปัญหาใหญ่ของรัฐบาลด้วยเช่นกัน เพราะหากมุ่งแก้เฉพาะปัญหาการเมือง สุดท้ายแล้วเศรษฐกิจไทยจะหลับลึกและไม่ตื่นก็เป็นได้
ด้าน ผศ.ดร.ประศาสน์ นิยม อาจารย์ประจำหลักสูตรเศรษฐศาสตร์บัณฑิต คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยว่า ในปี 2563 อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยลดลงถึงร้อยละ 6.6 อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ติดลบ ร้อยละ 0.9 เป็นผลมาจากการที่ประชาชนมีรายได้ ชั่วโมงการทำงาน และค่าล่วงเวลาลดลง จำเป็นต้องใช้เงินออมเพื่อใช้จ่ายเกี่ยวกับอุปกรณ์ป้องกันโรคระบาด มีการก่อหนี้บัตรเครดิตมากขึ้น
ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจและภาคประชาชนจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสร้างงานและพัฒนาทักษะใหม่ เช่น การพัฒนาระบบ อี-คอมเมิร์ซ และระบบโลจิสติกส์ที่เป็นของคนไทย การส่งเสริมการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า มอเตอร์ และแบตเตอรี่ การเกษตรปลอดภัยและอาหารสุขภาพ โดรนทางการเกษตร การติดตั้งโซล่าเซลล์ทั้งภาคในเมืองและภาคการเกษตร เป็นต้น