posttoday

เปิดผลสอบผู้ตรวจการแผ่นดิน ปมศรีสุวรรณร้องแก้โควิดรัฐเอื้อนายทุนหรือไม่

23 มกราคม 2564

ผู้ตรวจการแผ่นดินถกหน่วยงานเกี่ยวข้องหาข้อเท็จจริงกรณี3ข้อร้องเรียนศรีสุวรรณร้องตรวจสอบมาตรการรัฐป้องกันโควิด19 เอื้อนายทุนหรือไม่

พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน พร้อมหน่วยงานเกี่ยวข้อง ประชุมหารือร่วมกับผู้แทนศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) กรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา ขอให้แสวงหาข้อเท็จจริงและพิจารณาหาแนวทางแก้ไขปัญหาผลกระทบของมาตรการรัฐในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ ใน3ประเด็น ประกอบด้วย

1.กรณีการใช้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดด้วยการปิดตลาดนัดชุมชน 2.กรณีการบริหารจัดการของภาครัฐซึ่งได้รับการสนับสนุนหน้ากากอนามัยจากบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด จัดสรรหน้ากากอนามัยให้กับประชาชนยังไม่ทั่วถึง รวมทั้งไม่มีการควบคุมราคาหน้ากากอนามัยที่จำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ (ร้าน 7-11) และ 3) กรณีร้องเรียนความล่าช้าในการจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับประชาชน

ซึ่งที่ประชุมผู้ตรวจการแผ่นดินได้เสนอแนะ ใน 3 ประเด็นตามข้อร้องเรียน ดังนี้ กรณีมาตรการปิดตลาดนัดชุมชน – ที่ผ่านมาจะปิดเฉพาะตลาดที่เป็นแหล่งแพร่เชื้อรุนแรง พบผู้ติดเชื้อจำนวนมาก เช่น ตลาดกลางกุ้ง ตลาดกลางบางใหญ่ ส่วนตลาดอื่น ๆ ถ้าพบมีผู้ติดเชื้อแต่ไม่ใช่แหล่งแพร่เชื้อรุนแรงจะดำเนินการปิดชั่วคราวเพื่อทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรค และมีกรมอนามัยเข้าตรวจตราความปลอดภัยก่อนเปิดตลาดที่พบผู้ติดเชื้อ ส่วนห้างสรรพสินค้านั้นยังไม่พบว่าเป็นแหล่งแพร่เชื้อรุนแรง ซึ่งรัฐยืนยันว่าไม่ได้เลือกปฏิบัติ โดยผู้ตรวจการแผ่นดินได้กำชับให้กำหนดมาตรการควบคุมป้องกันและวิธีการฆ่าเชื้อในพื้นที่นั้น ๆ แทนการปิดตลาด หากจำเป็นต้องปิดตลาดขอให้ปิดในระยะเวลาให้สั้นที่สุดเพื่อลดพบกระทบผู้ประกอบการและการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชน ในขณะเดียวกัน ให้ทุกสถานที่เข้มงวดมาตรการป้องกันพื้นฐาน คือ ใส่หน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง และล้างมือ รวมทั้งช่วยกันรณรงค์ให้ประชาชนใช้แอปพลิเคชั่น “หมอชนะ” เพื่อประโยชน์ในการแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงและเฝ้าระวังการแพร่ระบาด

กรณีหน้ากากอนามัยของบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด และการควบคุมราคา – ปัจจุบัน ในประเทศไทยมีโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยประเภท Surgical Mask ที่ขอขึ้นทะเบียนกว่า 78 แห่ง มีกำลังผลิตประมาณ 5 ล้านชิ้นต่อวัน และมีผู้ที่ขออนุญาตนำเข้าอีก 234 ราย แต่ก็ยังไม่มีเพียงพอต่อจำนวนประชากรที่มีกว่า 65 ล้านคน ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินได้กำชับให้ ศบค. เร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบว่า สำหรับประชาชนทั่วไปที่ไม่เจ็บป่วย สามารถเลือกใช้หน้ากากทางเลือกหรือและหน้ากากผ้า ก็เพียงพอต่อการป้องกันฝอยละอองจากการไอ จาม และลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อได้ และจากการลงพื้นที่แสวงหาข้อเท็จจริงพบว่า โรงงานผลิตหน้ากากของเครือซีพีได้ผลิตหน้ากากอนามัยเพื่อแจกฟรีให้แก่แพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ ตลอดจนประชาชนกลุ่มผู้เปราะบางเท่านั้น เช่น คนชรา ผู้พิการ ผู้ยากไร้ไม่มีกำลังซื้อ โดยมอบให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นองค์กรดูแลแจกจ่ายหน้ากากอนามัยไปยังโรงพยาบาล องค์กรการกุศล และมูลนิธิ ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นคนละส่วนกับหน้ากากที่ขายในร้าน 7-11

ทั้งนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ขอความร่วมมือจากทาง บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ที่จัดจำหน่ายหน้ากากในร้าน7-11 ให้นำหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ในราคาควบคุมมาจัดจำหน่ายให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ส่วนหน้ากากทางเลือกและหน้ากากผ้านั้น ขอให้คัดเลือกชนิดที่มีคุณภาพ แต่มีราคาที่ถูกลง เพื่อให้ประชาชนซื้อหาและเข้าถึงได้มากขึ้น

กรณีการจัดหาวัคซีนล่าช้า – ประเทศไทยได้เริ่มดำเนินการจัดหาวัคซีนมานานแล้ว ตั้งแต่กลางปี 2563 มีการตั้งเป้าหมายการจัดหาวัคซีนครอบคลุมประชากรไทยในปี 2564 จำนวน 33,000,000 คน คิดเป็นร้อยละ 50 ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยได้วัคซีนจาก 2 แหล่ง คือ แหล่งที่ 1 ระยะเร่งด่วน จากบริษัท Sinovac Biotech จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัคซีนของประเทศจีน จำนวน 2,000,000 โดส คาดว่าจะได้ฉีดวัคซีนเข็มแรกในวันวาเลนไทน์ เดือนกุมภาพันธ์นี้แหล่งที่ 2 จากบริษัท AstraZeneca จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัคซีนของประเทศอังกฤษและสวีเดน จำนวน 26,000,000 โดส คาดว่าจะได้รับวัคซีนในเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2564 ซึ่งที่ผ่านมา สถาบันวัคซีนแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งศึกษาถึงรายละเอียด ความปลอดภัย ความคุ้มค่า ในบริบทที่มีความเสี่ยงอย่างรวดเร็วเต็มที่และรอบคอบแล้วเพื่อความปลอดภัยของประชาชนคนไทย ซึ่งสตง.ได้ให้คำแนะนำว่า ตามพรบ.จัดซื้อจัดจ้างนั้นจะไม่สามารถดำเนินการจัดซื้อสิ่งที่ยังไม่มีในตลาดได้ แต่สถาบันวัคซีนแห่งชาติสามารถใช้จ่ายงบประมาณในลักษณะของการร่วมวิจัยพัฒนาวัคซีน

โดยที่ปัจจุบันวัคซีนโควิด – 19 กำลังเป็นที่ต้องการทั่วโลก และบริษัท AstraZeneca จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่ผลิตวัคซีนได้ มีเป้าหมายการผลิตวัคซีนจำนวน 3,000 ล้านโดสต่อปี แต่ไม่สามารถดำเนินการผลิตฝ่ายเดียวได้ จึงต้องหาพันธมิตรที่มีศักยภาพของบุคลากรและมีเทคโนโลยีที่พร้อมในการรับถ่ายทอดเทคโนโลยี ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการมาสำรวจบริษัทต่าง ๆ ทั้งในภูมิภาคอาเซียนและในประเทศไทย และพบว่า บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด มีขีดความสามารถเป็นฐานการผลิตในภูมิภาคนี้ได้ และเป็นบริษัทที่ไม่แสวงหากำไร AstraSeneca จึงเลือกที่จะร่วมมือกับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด โดยมีการตั้งเป้าการผลิตจำนวน 200 ล้านโดสต่อปี ในสภาวการณ์ระบาดฉุกเฉินทั่วโลก รัฐจะเป็นผู้บริหารจัดการวัคซีน ยังไม่สามารถให้เอกชนจัดซื้อได้โดยตรง สำหรับการแจกจ่ายนั้น กระทรวงสาธารณสุขจะทำหน้าที่แจกจ่ายกระจายต่อไปยังประชาชนหรือหน่วยงานโดยเรียงลำดับความจำเป็นของผู้ที่ต้องการใช้วัคซีน ซึ่งต้องมีแผนควบคุมการใช้ การแจกจ่าย การติดตามผลข้างเคียง ไปจนถึงการทิ้งหรือการทำลายภาชนะบรรจุ ทุกอย่างต้องมีการรายงานโดยละเอียดเพื่อป้องกันอันตรายจากการฉีดวัคซีนและการติดตามผลอย่างใกล้ชิด

เปิดผลสอบผู้ตรวจการแผ่นดิน ปมศรีสุวรรณร้องแก้โควิดรัฐเอื้อนายทุนหรือไม่

เปิดผลสอบผู้ตรวจการแผ่นดิน ปมศรีสุวรรณร้องแก้โควิดรัฐเอื้อนายทุนหรือไม่

เปิดผลสอบผู้ตรวจการแผ่นดิน ปมศรีสุวรรณร้องแก้โควิดรัฐเอื้อนายทุนหรือไม่