posttoday

ศาลเลื่อนฟังคำสั่ง"วิระชัย"ฟ้อง 8 ตร.ปมคลิปเสียงยิงรถ"บิ๊กโจ๊ก"

05 ตุลาคม 2563

ศาลอาญาคดีทุจริตฯเลื่อนนัดฟังคำสั่ง"วิระชัย"ฟ้อง จเรตำรวจ-คณะกรรมการสอบปมคลิปเสียงยิงรถ"บิ๊กโจ๊ก"ขอให้ "อดีต ผบ.ตร.ส่งเอกสารเพิ่ม และนัดฟังคำสั่งอีกครั้ง 23 พ.ย.นี้

เมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี ศาลนัดฟังคำสั่งในชั้นตรวจคำฟ้อง คดีหมายเลขดำ อท.144/2563 ที่ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา อดีต รอง ผบ.ตร. เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.ชนสิษฎ์ วัฒนวรางกูร จเรตำรวจแห่งชาติ , พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี , พล.ต.ต.วีระวิทย์ วัจนะพุกกะ , พ.ต.อ.สมควร พึ่งทรัพย์ , พ.ต.อ อุกฤษฏ์ ศรีเสือขาม , พ.ต.อ.จิรพัฒน์ พรหมสิทธิการ , พ.ต.อ.สมเกียรติ ค้ำชู , พ.ต.อ.นิภพล สุขนิยม ซึ่งเป็นคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีสื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวเกี่ยวกับคลิปโทรศัพท์การสนทนากรณีมีคนร้ายยิงรถยนต์ของพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล (บิ๊กโจ๊ก) ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83

โดยโจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งแปดเป็นเจ้าพนักงานและมีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบข้อเท็จจริง จัดทำรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง และรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ผู้ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 24/2563 กรณีสื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวเกี่ยวกับคลิปโทรศัพท์การสนทนา ระหว่าง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ผบ.ตร. กับโจทก์ จากเหตุที่มีคนร้าย ยิงรถยนต์ของพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล โดยจำเลยทั้งแปด ในฐานะคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ร่วมกันจัดทำรายงานพร้อมสรุปผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำของโจทก์ โดยได้กล่าวหาว่าการกระทำของโจทก์ดังกล่าวมีมูลเพียงพอรับฟังได้ว่ากระทำผิดวินัยร้ายแรง ซึ่งเป็นการใช้ดุลพินิจโดยอำเภอใจ ไม่ได้พิจารณาโดบใช้ดุลพินิจอย่างเที่ยงธรรม ถูกต้องเหมาะสม โดยการรายงานผลดังกล่าวเป็นเหตุให้โจทก์ ถูกกล่าวหาทางคดีอาญา ถูกตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรง และถูกสำรองราชการให้พ้นจากตำแหน่งรอง ผบ.ตร. ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขาดคุณสมบัติในการได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร และไม่ได้รับเงินประจำตำแหน่ง รวมทั้งพ้นจากตำแหน่งกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร) ด้วย

ทั้งนี้ ศาลได้ตรวจฟ้องของโจทก์แล้วเห็นว่า โจทก์กล่าวหาจำเลยทั้งแปดซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 24/2563  ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงไม่ชอบ โดยสรุปรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงขัดต่อพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงที่ทำการตรวจสอบ เป็นเหตุให้โจทก์ถูกตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 383/2563 และมีคำสั่งให้โจทก์สำรองราชการตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 387/2563 แต่ข้อนี้โจทก์ไม่ได้เสนอรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรายงานการสอบสวนมาเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย ดังนั้นในชั้นนี้เพื่อให้ได้ความชัดแจ้งในข้อเท็จจริงแห่งคดี ศาลจึงอาศัยอำนาจตามข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยวิธีการดำเนินคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 ข้อ 16 มีหนังสือให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติส่งสำเนารายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ 24/2563 และสำเนารายงานการสอบสวนตามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนที่ 383/2563 พร้อมสำเนาเอกสารที่เกี่ยวข้องทุกฉบับต่อศาล ภายในวันที่ 5 พ.ย.นี้

อย่างไรก็ตาม ส่วนที่ให้สำรองราชการโจทก์ตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 387/2563 นั้น เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณา จึงให้โจทก์ยื่นคำแถลงว่าได้มีการอุทธรณ์คำสั่งหรือฟ้องคดีต่อศาลปกครองหรือดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติดังกล่าวหรือไม่ หากมีให้โจทก์แถลงพร้อมกับส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณาภายใน 30 วันนับแต่วันนี้ (5 ต.ค.)

นอกจากนี้ ศาลยังให้มีหนังสือสอบถามพร้อมส่งสำเนาคำฟ้องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. และคณะกรรมการ ป.ป.ท. เพื่อตรวจสอบว่ามีการกล่าวหา จำเลยทั้งแปด ในเรื่องเดียวกันกับที่โจทก์ยื่นฟ้องหรือไม่ จากนั้นแจ้งให้ศาลทราบเพื่อประกอบการพิจารณาภายในวันที่ 5 พ.ย. สำหรับการนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาคดีนี้ ให้เลื่อนไปเป็นวันที่ 23 พ.ย.นี้ วลา 10.00 น.