จากนักเขียนสู่สภาฯ บทสนทนากับ “ภู กระดาษ” ว่าด้วยการเมือง เรื่องของการอ่าน
จากนักเขียนผู้ตั้งคำถามต่ออำนาจ สู่ความตั้งใจในบทบาท “ผู้แทนราษฎร“ ในสภา คุยกับ “ภู กระดาษ” (ถนัด ธรรมแก้ว) ว่าด้วยการเมือง การอ่าน และชนบท ในฐานะโครงสร้างอนาคตของประเทศ
ในวันที่การเมืองถูกมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว ขณะที่วัฒนธรรมการอ่านกำลังถอยหลัง “ภู กระดาษ” นามปากกานักเขียนที่เติบโตมากับการตั้งคำถามต่ออำนาจรัฐ กลับเลือกก้าวเข้าสู่สภาในฐานะผู้แทนราษฎร ปี 2025/2569
ไม่ใช่ในฐานะคนละทิ้งปากกา แต่ในฐานะคนที่เพิ่ม “บทบาท” ของตนเองเพื่อเสนอตัวเข้ามาทำงานในฐานะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในนามจริง “ถนัด ธรรมแก้ว“
บทสัมภาษณ์กับ PostToday ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการพูดถึงเส้นทางชีวิต หากคือการชวนมอง “โครงสร้างทางวัฒนธรรม" ด้านต่างๆ โดยเฉพาะเมื่อถูกวางตัวให้ดูแลนโยบายด้านการสร้างวัฒนธรรมการอ่าน “ให้เกิด” ในสังคมไทย ไปจนถึงการดูแลด้านวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เกษตร อาหาร กีฬา และชนบท….ซึ่งนี่คือเรื่องใหญ่ไม่น้อยสำหรับฐานรากของประเทศไทย
ภู กระดาษมีผลงานที่นักอ่านรู้จักกันดี เช่น เนรเทศ (2014) นวนิยายที่เล่าเรื่องการพลัดถิ่นและชะตากรรมของคนชายขอบ โดยใช้กลวิธีเปรียบเทียบปัญหาบ้านเมืองกับระบบขนส่งสาธารณะ
24-7/1 (2020) นวนิยายเล่มหนาที่เจาะลึกการเมืองและเศรษฐกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตประจำวัน ผ่านเรื่องราวของตระกูลหนึ่งในอีสาน
ไม่ปรากฏ (2013) รวมเรื่องสั้นชุดแรกที่สำรวจประเด็นทางสังคม ดั่งเรือนร่างไร้องคาพยพ (2015) งานเขียนที่โดดเด่นด้วยท่วงทำนองที่ไม่เหมือนใคร และ ปกรณัมความปวกเปียก (2023) หนังสือรวมเรื่องสั้น 33 เรื่อง ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
ไม่มีคำถามสำหรับนักเขียนที่เดินทางมาขนาดนี้ แต่มีคำถาม “ถนัด ธรรมแก้ว“ ในฐานะสมาชิกพรรคประชาชน..
1.
ขอเริ่มต้นบทสนทนาว่าด้วยตัวตนและการตัดสินใจ จากการเขียนหนังสือ สู่การเขียนอนาคตประเทศ
อะไรคือ “ประโยคสุดท้าย” ที่ทำให้คุณภู กระดาษตัดสินใจเปลี่ยนจากการเขียนหนังสือ มาเขียนอนาคตประเทศในสภา
ยังไม่ได้ละทิ้งการเขียนหนังสือนะ (ฮ่าๆ) จะยังคงเขียนหนังสือต่อไปครับ และการเป็นนักการเมือง การเข้ามาทำการเมือง สำหรับผม มิใช่การเปลี่ยนบทบาท แต่เป็นการเพิ่มบทบาทของตนเองมากกว่า เพราะการเมืองเพื่อการเปลี่ยนแปลง เพื่อสร้างประเทศที่เป็นของทุกคน ต้องเป็นภาระและหน้าที่ของทุกคนในสังคม และเมื่อมีโอกาส ผมจึงไม่ลังเลที่จะเข้าร่วมกับคนอื่น ๆ และค่อย ๆ ทำไป เท่าที่การเอื้อให้เข้าถึงโอกาสได้ และเท่าที่แรง กำลังมี
ในการเข้ามาทำการเมือง การเป็นนักการเมืองใน ปี 2025 นี้ ผมตัดสินใจไม่ต่างจากในตอนที่ตัดสินใจเขียนหนังสือครับ หลังการรัฐประหาร ปี 2006 ผมเกิดคำถาม มีอะไรที่สามารถทำได้บ้างในสภาพบ้านเมืองแบบนี้ สภาพบ้านเมืองที่วนเวียนอยู่กับการปกครองและบริหารประเทศโดยคณะปกครอง (Oligarchy) และผมตอบตนเองว่า สิ่งที่ทำได้มากที่สุดคือการเขียนหนังสือ สื่อความคิด ความเห็น และความมุ่งมาดปรารถนาสู่คนและสังคม โดยหวังว่าจะเป็นอีกหนึ่งเสียงที่ต่างออกไปในสังคม ครั้นตัดสินใจเข้าการเมืองก็ไม่ต่างกันครับ นี่คือสิ่งที่ทำได้มากที่สุด และต้องทำในตอนนี้แล้วคือการเป็นนักการเมือง การเข้าไปทำการเมืองร่วมกับคนอื่น ๆ ที่มีเจตจำนงทางการเมืองที่เหมือน ๆ กัน และคล้าย ๆ กัน เพื่อเป็นอีกหนึ่งแรงหนุนเสริมกันและกันไปสู่เป้าหมาย
ในชีวิตนักเขียน เรามีเสรีภาพจะเงียบ จะวิจารณ์ หรือจะฝัน แต่การเป็น สส ต้องลงมือจริง จุดไหนที่คุณคิดว่าตัวเอง “พร้อม” แล้ว
ผมไม่เคยคิดเลยว่าตนเองมีความพร้อม มีแต่การมีเจตจำนงทางการเมืองที่แน่วแน่ว่าทำไมต้องทำสิ่งนี้ ทำอย่างไร และทำไปเพื่ออะไร แล้วเมื่อมีโอกาสเกิดขึ้น ก็พยายามจะเข้าถึงให้ได้เท่านั้นครับ
จากประสบการณ์การทำงานของผมกว่า 20 ปีที่มิใช่เป็นแค่นักเขียน แต่ยังเป็นพนักงานบริษัทโดยเป็นผู้บริหารระดับกลางที่มีทั้งผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นอาสาสมัครในงานเพื่อสาธารณะประโยชน์ของสังคมมาอย่างต่อเนื่อง ได้มีโอกาสคลุกคลีอยู่แวดวงการเมืองอยู่บ้างในก่อนหน้านี้ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและร่วมบริหารสโมสรฟุตบอลกึ่งอาชีพ และเคยเป็นผู้ประกอบการรายย่อยด้านเกษตรและปศุสัตว์ ผมคิดว่าการลงมือทำจริงในทางการเมือง น่าจะสามารถประยุกต์ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่กล่าวถึงข้างต้น มาใช้ มาจัดการได้ ทั้งในฐานะผู้ปฏิบัติงานและในฐานะผู้บริหาร
ผมเชื่อในความมุ่งมั่นตั้งใจ การเรียนรู้ ศึกษาค้นคว้า เชื่อในการเปิดกว้าง รับฟัง การปรับปรุงแก้ไข การมีพลวัตในตนเอง การใคร่ครวญครุ่นคิด การมีหลักการที่เป็นอารยะและสากล การเข้าอกเข้าใจผู้อื่น และสามารถร่วมมือร่วมใจกับผู้อื่นได้เสมอ — นี่อาจเป็นความพร้อมจริง ๆ ที่ผมมีก็ได้ครับ
ถ้าเปรียบการเมืองเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง คุณภูคิดว่าตัวเองเข้ามาในฐานะ "นักเขียนบท" หรือ "ตัวละครหลัก"
เป็นทั้งนักเขียนบทและเป็นตัวละครหลักเลยครับ เพราะการเมืองคือต้องมีการกำหนด การผลักดัน และการดำเนินการ เพื่อจะสามารถส่งมอบในสิ่งที่อยากส่งมอบให้ได้ มันจึงมีความจำเป็นที่ต้องเป็นทั้งผู้เล่นและผู้เขียนบท ผู้กำกับไปพร้อม ๆ กัน
นามปากกา “ภู กระดาษ” มาจากไหน สื่อถึงอะไร
ถ้าพ้องเสียงจะมาจากชื่อภูเขาลูกหนึ่งในเทือกเขาพนมดองแร็ก ที่คนในหมู่บ้านยุคก่อนขึ้นไปทำไร่ ทำมาหากิน ชื่อ “ภูกระดาด” มีต้นกระดาดอยู่ดาษดื่น เป็นการรำลึกถึงแผ่นดินที่หล่อเลี้ยงให้เติบใหญ่ขึ้นมา และถ้าพ้องรูป จะมาจาก ภู (เขา) กระดาษ ที่กระดาษคือส่วนหนึ่งหรือเป็นส่วนประกอบของการเขียน มันคือภูเขาแห่งกระดาษ หรือนัยหนึ่งคือภูเขาแห่งการเขียนนั่นเองครับ
2.
วัฒนธรรมการอ่าน ไม่ใช่แค่หนังสือ แต่คือ “โครงสร้างสังคม”
หลายคนมองว่า “คนไทยไม่อ่าน” แต่ในมุมของนักเขียน คุณคิดว่าปัญหาจริง ๆ คือคนไม่อ่าน หรือสังคมไม่เอื้อให้การอ่านมีคุณค่า
อาจจะตอบได้ไม่ตรงคำถามสักเท่าไหร่นะครับ แต่ผมอยากบอกว่า ผมมองว่าการอ่านเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้เกิดสติปัญญา และผมก็ไม่เคยคิดว่าคนไม่อ่าน คนอ่าน อ่านอย่างปกติ เพียงแต่อ่านไม่มากพอ และไม่หลากหลายด้วย ขณะเดียวกัน การไม่ต้องอ่านอะไรเลยก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในสังคม ชีวิตนี้ไม่จำเป็นต้องอ่านเลย ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตลำบาก — ซึ่งเป็นอะไรที่น่าสิ้นหวังอยู่หน่อย ๆ เหมือนกัน หากจริงจังคิดไปแล้ว
ถ้าวัฒนธรรมการอ่านคือโครงสร้างพื้นฐานแบบเดียวกับถนนหรือไฟฟ้า คุณอยากเริ่มลงทุนตรงจุดไหนก่อน
อาจจะต้องลงทุนไปพร้อม ๆ กันในทุกด้านครับ ทั้งด้านโครงสร้าง ด้านเศรษฐกิจ ด้านกฎหมาย และโดยเฉพาะคนในแวดวงหนังสือและการอ่าน เพราะเมื่อล่วงเลยเวลามาถึงยุคที่โซเซียลมีเดียมีอิทธิพลเหนือคนทั้งปวงแบบนี้ เราจะไปทำอะไรก่อนอะไรหลัง เพื่อหวังสร้างวัฒนธรรมการอ่านและสร้างความเฟื่องฟูให้อุตสาหกรรมหนังสือ ผมคิดว่าไม่น่าจะรอดได้ และจะล้มเหลวไม่เป็นท่าอย่างที่ผ่านมา ฉะนั้นต้องทำพร้อมกันทั้งระบบไปเลยครับ
และสิ่งแรกที่ต้องทำเลยคือจำเป็นต้องมีหน่วยงานมารับผิดชอบด้านหนังสือและการอ่านโดยตรงครับ คร่าว ๆ คือ หน่วยงานนี้จะมีการบริหารจัดการและการตรวจสอบโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมหนังสือและการสร้างวัฒนธรรมการอ่าน คณะผู้บริหารต้องมาจากทุกสาขาอาชีพ โดยผ่านการเลือกตั้งเข้ามา มีวาระบริหารที่แน่นอน เพื่อมากำหนด ผลักดันและดำเนินการในนโยบายหนังสือและการอ่านของประเทศไทย
คุณอยากเห็นห้องสมุดไทยในอุดมคติหน้าตาเป็นอย่างไร ในอีก 10 ปีข้างหน้า
โดยหลักคิดพื้นฐานแล้ว ผมมองว่าห้องสมุดในอนาคต ต้องมี 2 ส่วนควบคู่กันไปคือการรักษาหัวใจของการเป็นห้องสมุด ขณะเดียวกันก็สามารถตอบสนองผู้ใช้บริการในยุคนั้นได้อย่างดีที่สุดครับ
ถ้าเด็กชนบทจะเข้าถึงหนังสือได้ง่ายพอ ๆ กับ TikTok รัฐต้องทำอะไรที่ “กล้ากว่าเดิม”
ในขณะที่เราสร้างกิจกรรมการอ่านและมีวิชาการอ่านในโรงเรียน การสร้างหรือการมีห้องสมุดกระจายอย่างทั่วถึง มีการสนับสนุนหนังสือสู่ครัวเรือนของเด็ก ๆ มีการส่งเสริมการอ่าน การเรียนรู้ด้วยคูปองต่าง ๆ การสร้างครูและผู้ปกครองที่ให้ความสำคัญกับหนังสือและการอ่าน เราจำเป็นต้องมีการปกป้องเด็ก ๆ จาก TikTok ด้วยครับ เราต้องคุ้มครองและปกป้องเด็กให้พ้นจากโซเซียลมีเดียไปด้วย เหมือนหลายประเทศที่กำลังดำเนินการอยู่ในตอนนี้ ล่าสุดคือออสเตรเลียที่ออกกฎหมายกำหนดอายุขั้นต่ำก่อนสมัครโซเซียล โดยกำหนดว่าเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีห้ามสมัครและใช้งานโซเซียลมีเดีย มันมีความจำเป็นต้องทำครับ เพราะเด็กต้องได้รับการปกป้องและคุ้มครองครับ
3.
วัฒนธรรม + เศรษฐกิจสร้างสรรค์ จาก Soft Power สู่ “Soft Infrastructure”
นักเขียน ศิลปิน คนทำคอนเทนต์จำนวนมากอยู่ในภาวะรักในงาน แต่ไม่มั่นคงในชีวิต—รัฐควรรับผิดชอบตรงไหน
การสร้างสวัสดิการถ้วนหน้าอาจเป็นหนึ่งในคำตอบนี้ ในฐานะที่นักเขียน ศิลปิน คนทำคอนเท้นต์ คือเรื่องของวัฒนธรรม ขณะเดียวกันในด้านของอุตสาหกรรม รัฐต้องสร้างวัฒนธรรมการอ่านให้เกิดขึ้นและเฟื่องฟูให้ได้ โดยดำเนินการผ่านนโยบายต่าง ๆ ทั้งในด้านโครงสร้าง ด้านเศรษฐกิจ และด้านกฎหมาย ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนทั้ง demand และ supply ครับ
ถ้าจะทำให้คนทำงานสร้างสรรค์ “ไม่ต้องเลือกระหว่างอุดมการณ์กับปากท้อง” คุณจะเริ่มแก้จากจุดใด
(ถ้าตอบก็คงเหมือนคำตอบข้อที่แล้ว มันต้องใช้นโยบายเชิงรุกและอย่างครอบคลุมทั้ง supply chain มันเป็นคำถามที่ยากทีเดียวครับ ตอบลำบากเลย แต่อยากขอแสดงความคิดเห็นไว้หน่อยว่าในสภาพอุตสาหกรรมหนังสือหรืออุตสาหกรรมอื่น ๆ ของไทยในตอนนี้ เราแทบไม่มีทางเลือกกันแล้วครับ และมันต้องเริ่มแก้จากทุกจุดจริง ๆ ไม่มีจุดใดจุดหนึ่งก่อนเลย ซึ่งล้วนแล้วแต่ต้องใช้เวลา ล้วนต้องทำงานอย่างเฉลียวฉลาดและหนักมาก ๆ ด้วย)
4.
เกษตร อาหาร กีฬา และชนบท เรื่องเล่าที่ถูกมองข้ามการพัฒนาที่มีคนเป็นศูนย์กลาง
ในฐานะนักเขียน คุณมองชนบทไทยเป็น “ฉากหลัง” หรือ “ตัวละครหลัก” ของประเทศ
เป็นตัวละครหลักของประเทศครับ มองอย่างผิวเผินที่สุดก็สามารถจะมองเห็นได้ว่าประเทศไทยมีความเป็นชนบท เป็นต่างจังหวัดมากกว่าความเป็นเมือง และเผลอ ๆ ประเทศเราอาจไม่เคยเป็นประเทศอุตสาหกรรมเลยด้วยซ้ำ
ถ้าไม่สามารถพัฒนาและยกระดับชนบทได้ ประเทศไทยก็จะติดหล่ม ติดกับดักประเทศรายได้ปานกลางอยู่ตลอดไปครับ เพราะชนบทและภาคเกษตรไทย ดูดซับแทบทุกอย่างเอาไว้ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจฐานรากและด้านแรงงาน (การว่างงานแฝง)
ถ้าเกษตรกรคือผู้ผลิตอาหารให้ประเทศ ทำไมชีวิตเขาถึงยังไม่มั่นคง ปัญหาอยู่ที่ตลาด นโยบาย หรือวิธีคิดของรัฐ
การเกษตรของไทย ไม่เคยได้รับการพัฒนา ไม่ได้รับการยกระดับอย่างเป็นระบบ จึงส่งผลให้เกษตรกรไทยทำการเกษตรแทบจะแบบเดิมมาตลอดคือทำเพื่อยังชีพ มีเหลือจึงขาย ไม่ได้ทำแบบอุตสาหกรรม ขณะที่แนวนโยบายรัฐ วิธีคิดของรัฐ ที่ผ่านมาเราเห็นกันชัดเจนว่าเกษตรกร/การเกษตรไทยเป็นเรื่องการเมืองล้วน ๆ เป็นคะแนนนิยม แนวนโยบายมีเพียงการแก้ไขปัญหาระยะสั้น ไม่ได้มีแนวนโยบายเพื่อการวางรากฐานหรือสร้างระบบสำหรับแก้ไขปัญหาระยะยาว
มันมีความจำเป็นครับว่าต้องทำควบคู่กันไปทั้งแก้ปัญหาระยะสั้น เฉพาะหน้า และแก้ไขปัญหาระยะยาว ส่วนเรื่องของตลาด กลไกตลาด มันคือตลาดเสรีแบบไร้ขื่อแป ทุนมีอำนาจเหนือรัฐ มันจึงบดขยี้ กินรวบ และไร้ความปรานีต่อเกษตรกรรายย่อยและคนยากคนจนคนขายแรง
เมื่อรวมกันได้สามอย่างโดยสมบูรณ์ จึงทำให้เกษตรกรไทยเป็นอย่างที่เราเห็น คือยิ่งทำเกษตรยิ่งจนลง ยิ่งมีแต่หนี้สิน
หมายเหตุเพิ่มเติมไว้สักหน่อยครับว่า ไม่ใช่แค่ของไทย แต่ภาคเกษตรและอาหารของโลก หากปราศจากการแทรกแซงโดยรัฐ ผมคิดว่าอาจจะรอดยากครับ เพราะเกษตรและอาหารคือสิ่งจำเป็นของทุกคนในโลกที่มิอาจจะขาดได้ แต่คนในโลก มิใช่มีรายได้ หรือมีเศรษฐกิจครัวเรือนที่ดี ที่สูงกันหมด คนส่วนใหญ่ในโลกล้วนยากจนหรือไม่ก็กลาง ๆ ครับ ไม่ว่าจะอยู่ในทวีปใด ความเหลื่อมล้ำอันเกิดจากการปล่อยให้ระบบเสรีนิยมแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่และทำทุกอย่างตามอำเภอใจ กำลังฆ่าพวกเราทั้งโลกอยู่ครับในตอนนี้
อาหารไทยคือวัฒนธรรมที่กินได้ แต่ทำไมมูลค่ามักไปตกอยู่ที่คนกลางมากกว่าคนปลูก
มันเป็นไปตามกลไกตลาด ตามระบบ supply chain รสมถึงแนวความคิดที่อยู่เบื้องหลังการกำหนดนโยบายของรัฐ และอำนาจการต่อรองของเกษตรกรเลยครับ ฉะนั้น รัฐและเกษตรกร จำเป็นต้องปรับแนวคิดและบทบาทของตนเองใหม่ในด้านนี้ รัฐนอกจากดำรงสถานะเป็นรัฐสำหรับทุกคนแล้ว รัฐก็จำเป็นต้องตระหนักด้วยว่าตนเองคือเกษตรกรที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระบบเกษตรและอาหารของประเทศ โดยมีบทบาทเป็นแหล่งทุน แหล่งความรู้ และกองกำลังส่งเสริมสนับสนุน เกษตรกรก็ต้องสามารถรวมกลุ่มกันขึ้นมาให้ได้ สามารถเป็นกลุ่มผู้ประกอบการแบบเดียวกับต่างประเทศเช่นในประเทศอิสราเอล หรือประเทศเนเธอร์แลนด์ให้ได้ด้วย
ถ้ารัฐจะลงทุนในชนบทแบบ “ไม่สงเคราะห์ แต่สร้างศักดิ์ศรี” นโยบายแบบไหนที่คุณอยากผลักดันที่สุด
มีมากมายหลายอย่างเลยครับที่อยากผลักดันที่สุด แต่อย่างคร่าว ๆ อย่างเบื้องต้น คงเป็นนโยบายด้านการกระจายอำนาจ กระจายงบประมาณตามหลักประชาธิปไตย นโยบายด้านการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร การท่องเที่ยวและ wellness และนโยบายการสร้าง การสนับสนุนผู้ประกอบการรายเล็กรายย่อยและรายกลางให้มีจำนวนมากขึ้น ควบคู่ไปกับนโยบายด้านการศึกษา ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านสวัสดิการถ้วนหน้าด้วยครับ ส่วนจังหวัดตามแนวชายแดน จำเป็นต้องมีนโยบานด้านความมั่นคงใหม่ มีนโยบายด้านการค้าระหว่างประเทศที่เอื้อแก่ประชาชนตามแนวชายแดนด้วย ไม่ใช่เอื้อแต่บริษัทใหญ่ ๆ จากกรุงเทพมหานคร


