posttoday

"พนม ศรศิลป์" เจอคุกอ่วมทุจริตงบ พศ. รวมโทษ 7 สำนวน 91 ปี 36 เดือน

20 พฤษภาคม 2563

อดีต ผอ.พศ. "พนม ศรศิลป์" เจอคุกอ่วม 52 ปี 8 เดือนทุจริตงบ พศ.สำนวนที่ 6-7 รวมโทษ 7 สำนวน 91 ปี 36 เดือน ร่วมพวกชดใช้คืน กว่า 85 ล้าน ส่วนอดีตลูกน้อง พศ.อีก 4 คนคุกถ้วนหน้านับโทษต่อหลายสำนวน รอลุ้นอุทธรณ์สู้คดี

เมื่อวันนี้ 20 พ.ค.63 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 19 พ.ค.63 ที่ผ่านมา ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดีทุจริตการจัดสรรเงินงบประมาณ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) สำนวนที่ 6 คดีหมายเลขดำ อท.280/2561 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายพนม ศรศิลป์ อายุ 61 ปี อดีต ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (ผอ.พศ.) , นายบุญเลิศ โสภา อายุ 54 ปี อดีต ผอ.กองพุทธศาสนศึกษา พศจ.ลำปาง , นายณรงค์เดช ชัยเนตร อดีต ผอ.กองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา , นายพัฒนา สุอำมาตย์มนตรี อายุ 50 ปี อดีตนักวิชาการศาสนาชำนาญการ กองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ , ทำ , จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ร่วมกันเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่น โดยทุจริตหรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์สินนั้นเสีย , เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต , เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสารฯ ทำการรับรองหลักฐานเป็นเท็จ , เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานกระทำความผิดดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 147,157,162 ประกอบมาตรา 83,86 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ

โดยอัยการโจทก์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.61 ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อปีงบประมาณ 2556-2557 สำนักงาน พศ. ได้รับงบประมาณตามแผนงานเงินอุดหนุนการปฏิบัติธรรมและครอบครัวอบอุ่นด้วยพระธรรม , เงินอุดหนุนการผลิตสื่อการเรียนการสอนพระปรรยัติธรรม , เงินอุดหนุนการจัดงานวันสําคัญทางพระพุทธศาสนา , เงินอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม-บาลี โดยจะมี ผอ.พศ.เป็นผู้มีอำนาจอนุมัติให้จ่ายเงินงบประมาณดังกล่าว กระทั่งต้นปี 2556 จำเลยที่ 2 ไปพบเจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้าง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี เกี่ยวกับการเสนอเงินอุดหนุน ให้กับวัดบางอ้อยช้าง 2 ล้านบาท โดยให้วัดจะต้องคืนเงินกลับมาจำนวน 1.6 ล้านบาทซึ่งจำเลยที่ 2 อ้างว่าเพื่อนำเงินไปช่วยเหลือวัดอื่นๆ เจ้าอาวาสเห็นว่าวัดบางอ้อยช้างจะได้รับเงินมาบูรณะวัดที่กำลังทรุดโทรมและเชื่อว่าเงินที่คืนให้กับจำเลยที่ 2 จะสามารถช่วยทำประโยชน์แก่วัดต่างๆ ได้โดยเชื่อมั่นวางใจในจำเลยที่ 2 ดังนั้นจึงได้ลงลายมือชื่อขอรับเงินงบประมาณตามที่จำเลยที่ 2 เสนอ จากนั้นจำเลยที่ 2 ได้เลือกวัดศรีเรืองบุญ กับวัดใหม่ผดุงที่ตั้งในเขตจ.นนทบุรี ตามที่เจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้างเสนอเพื่อรับเงินด้วย โดยจำเลยที่ 2 ให้เจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้างดำเนินการแทนวัดศรีเรืองบุญและวัดใหม่ผดุงเขตเพื่อให้ได้รับเงินอุดหนุนดังกล่าว

ต่อมาวันที่ 12 ก.พ.56 - 26 ก.ย.57 จำเลยทั้งสี่กับพวกที่ยังหลบหนี สมคบกันทุจริตอนุมัติเบิกจ่ายเงินงบประมาณ 4 โครงการ ประกอบด้วยเงินอุดหนุนการปริยัติธรรมและครอบครัวอบอุ่นด้วยพระธรรม , โครงการผลิตสื่อการเรียนการสอนพระปริยัติธรรม , โครงการเงินอุดหนุนการจัดงาน วันสําคัญทางพระพุทธศาสนา , โครงการเงินอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม-บาลี โดยวันที่ 12 ก.พ.56 จำเลยที่ 2 อนุมัติเงิน 2 ล้านบาทให้วัดบางอ้อยช้างแล้วเอาเงินคืนไปจำนวน 1.6 ล้านบาท ต่อมาวันที่ 2 เม.ย.56 จำเลยที่ 1-3 ขออนุมัติเงินเบิกเงินงบประมาณโครงการผลิตสื่อการเรียนการสอนพระปริยัติธรรม 10 ล้านบาทให้วัดบางอ้อยช้าง ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าไม่มีโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้รับเงินคืนไป 8 ล้านบาท , วันที่ 1 พ.ย.56 จำเลยที่ 1 ,2 ,4 ขออนุมัติเบิกเงินอุดหนุนการจัดกิจกรรมวันสําคัญทางพระพุทธศาสนาิประจำปีงบประมาณ 2557 ให้แก่วัดบางอ้อยช้าง 5 ล้านบาท , วัดศรีเรืองบุญ 4 ล้านบาท , วัดใหม่ผดุงเขต 4.5 ล้านบาท ทั้งที่พวกจำเลยและนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีต ผอ.พศ. (ยังหลบหนีคดี) รู้อยู่แล้วว่าได้อนุมัตเงินไม่ถูกต้องตามระเบียบและวิธีการงบประมาณเนื่องจากเงินอุดหนุนการจัดกิจกรรมวันสําคัญทางพระพุทธศาสนาไม่อยู่ในกิจกรรมจำนวน 8 กิจกรรมของแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้เงินงบประมาณ แล้วจำเลยที่ 2 ยังขอรับเงินคืนจากวัดบางอ้อยช้าง 4 ล้านบาท , วัดศรีเรืองบุญ 3.2 ล้านบาท , วัดใหม่ผดุงเขต 3.6 ล้านบาท รวมจำนวนเงินความผิดส่วนนี้ทั้งสิ้น 10,800,000 บาท จากนั้นวันที่ 23 ก.ย.57 จำเลยที่ 1-2 ยังทำบันทึกข้อความเสนอ นายนพรัตน์ อดีต ผอ.พศ. ขออนุมัติเงินอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม-บาลี ประจำปีงบประมาณ 2557 ให้วัดบางอ้อยช้างอีก 1.5 ล้านบาท แล้วจำเลยที่ 2 ไปขอรับเงินคืน 1.3 ล้านบาท รวมเงินงบประมาณที่สำนักงาน พศ. โอนให้กับวัดบางอ้อยช้าง , วัดศรีเรืองบุญ , วัดใหม่ผดุงเขต เป็นเงินทั้งสิ้น 28 ล้านบาท และมีการรับเงินคืนไปรวม 21,700,000 บาท ซึ่งการกระทำของจำเลยที่ 1-4 และนายนพรัตน์ อดีต ผอ.พศ. ร่วมกันเบียดบังเอาเงินงบประมาณ ของสำนักงาน พศ. ไปเป็นประโยชน์ของตน ด้วยการใช้วัดเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดรับโอนเงินงบประมาณ ทำให้สำนักงาน พศ. เป็นผู้เสียหาย ซึ่งอัยการโจทก์ขอให้นับโทษจำเลยที่ 1-4 ต่อจากโทษในคดีอื่นๆด้วย

โดยจำเลยที่ 1-4 ให้การปฏิเสธ พร้อมสืบพยานต่อสู้คดี ระหว่างพิจารณาคดี นายพนม อดีต ผอ.พศ.จำเลยที่ 1 และกลุ่มลูกน้อง ในสำนักงาน พศ.จำเลยที่ 2,3,4 ไม่ได้ประกันตัว ปัจจุบันถูกคุมขังในเรือนจำ

ขณะที่ศาล พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยในชั้นไต่สวนแล้ว พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-3 มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 147 , 157 , 162 (4) ประกอบมาตรา 83 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 ประกอบ ป.อ.มาตรา 83

ส่วนจำเลยที่ 4 กระทำผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนกระทำตาม ป.อ.มาตรา 147 , 157 , 162 (4) และ พ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช.ฯ ประกอบมาตรา 86

การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป สำหรับนายพนม อดีต พศ. จำเลยที่ 1 ให้จำคุก 3 กระทง เป็นเวลา 35 ปี (กระทงแรกจำคุก 14 ปี , กระทงที่ 2 เป็นเวลา 15 ปี และกระทงที่ 3 เป็นเวลา 6 ปี)

นายบุญเลิศ อดีต ผอ.กองพุทธศาสนศึกษา พศจ.ลำปาง จำเลยที่ 2 จำคุกรวม 4 กระทงเป็นเวลาทั้งสิ้น 41 ปี (กระทงแรก 6 ปี , กระทงที่ 2 เป็นเวลา 14 ปี , กระทงที่ 3 เป็นเวลา 15 ปี และกระทงที่ 4 เป็นเวลา 6 ปี )

นายณรงค์เดช อดีต ผอ.กองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา จำเลยที่ 3 จำคุก 14 ปี และ นายพัฒนา อดีตนักวิชาการศาสนาชำนาญการ กองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา จำเลยที่ 4 จำคุก 10 ปี

อย่างไรก็ดีทางนำสืบของจำเลยที่ 1-4 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้างจึงลดโทษให้คนละ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนดทั้งสิ้น 23 ปี 4 เดือน , จำเลยที่ 2 จำคุก 27 ปี 4 เดือน , จำเลยที่ 3 จำคุก 9 ปี 4 เดือน , จำเลยที่ 4 จำคุก 6 ปี 8 เดือน

และให้จำเลยที่ 2 ชดใช้เงินคืนให้สำนักงาน พศ. ผู้เสียหายด้วย จำนวน 1.6 ล้านบาท , ให้จำเลยที่ 1,2,3 ร่วมกันชดใช้เงินคืนจำนวน 8 ล้านบาท , ให้จำเลยที่ 1,2,4 ร่วมกันชดใช้เงินคืนจำนวน 10,800,000 บาท , ให้จำเลยที่ 1,2 ร่วมกันชดใช้เงินคืนจำนวน 1.3 ล้านบาท (รวมจำนวนเงินชดใช้ทั้งสิ้น 21,700,00 บาท)

และยังให้นับโทษของ นายพนม อดีต ผอ.ผศจำเลยที่ 1 ต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อท. 253/2561 , อท.254/2561 , อท.257/2561 , อท.32/2562 ของศาลอาญาคดีทุจริตฯ นี้ด้วย

ส่วนนายบุญเลิศ อดีต ผอ.กองพุทธศาสนฯจำเลยที่ 2 ให้นับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อท.254/2561 (ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ 5 มี.ค.63 จำคุก 9 เดือน) และ อท.32/2562 (ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ิ 19 ก.พ.63 จำคุก 13 ปี 4 เดือน) ของศาลนี้ด้วย

ส่วนนายณรงค์เดช อดีต ผอ.กองส่งเสริมงานเผยแผ่ฯ จำเลยที่ิ 3 และนายพัฒนา อดีตนักวิชาการกองส่งเสริมงานเผยแผ่ฯ จำเลยที่ 4 ให้นับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อท.257/2561 ของศาลนี้ด้วย (ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ิ 19 ก.พ.63 จำคุก 3 ปี 18 เดือน)

นอกจากนี้ในวันเดียวกันเมื่อวันที่ 19 พ.ค.ศาลยังอ่านคำพิพากษาคดีทุจริตการจัดสรรเงินงบประมาณสำนักงาน พศ. สำนวนที่ 7 ด้วยในคดีหมายเลขดำ อท.281/2561 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายพนม อดีต ผอ.พศ. , นายบุญเลิศอดีต ผอ.กองพุทธศาสนศึกษา พศจ.ลำปาง , นายแก้ว ชิดตะขบ อายุ 54 ปี อดีตนักวิชาการศาสนาชำนาญการ กองพุทธศาสนศึกษา , นางพรเพ็ญ กิตติธรางกูร อายุ 51 ปี อดีตนักวิชาการศาสนาชำนาญการ กองพุทธศาสนศึกษา เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ , ทำ , จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ร่วมกันเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่น โดยทุจริตหรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์สินนั้นเสีย , เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต , เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสารฯ ทำการรับรองหลักฐานเป็นเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 147,157,162 ประกอบมาตรา 83 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ

โดย อัยการ โจทก์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.61 พฤติการณ์สรุปว่า ระหว่างวันที่ 25 มิ.ย.56 จำเลยที่ 1-4 ได้ร่วมกันขออนุมัติและเบิกจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม ต่อนายนพรัตน์ ผอ.พศ.ในขณะนั้น ให้สนับสนุนงบประมาณแก่สำนักเรียนที่มีความพร้อมด้านการบริหารจัดการจำนวน 15 ล้านบาท โดยให้แก่วัดบางอ้อยช้าง 5 ล้านบาท , วันที่ 26 ก.ค.56 ขออนุมัติงบประมาณอีก 8 ล้านบาท แบ่งจ่ายให้แก่วัดใหม่ผดุงเขต 2.5 ล้านบาท กับวัดศรีเรืองบุญ 3 ล้านบาท แล้วพวกจำเลยให้เจ้าอาวาสวัดคืนเงินให้กับจำเลยที่ 2 ไปจำนวน 4 ล้านบาท , 2 ล้านบาทและ 2.4 ล้านบาทตามลำดับ จากนั้นวันที่ 6 ส.ค.56 พวกจำเลยยังเบิกจ่ายงบประมาณอีก 9 ล้านบาท มอบให้แก่วัดศรีเรืองบุญ , วัดใหม่ผดุงเขต , วัดบางอ้อยช้างวัดละ 2 ล้านบาท ก่อนที่จำเลยที่ 2 มาขอรับเงินคืนไปวัดละ 1.6 ล้านบาท ต่อมาเมื่อวันที่ 23 ก.ย.56 พวกจำเลยยังเบิกจ่ายงบประมาณอีกจำนวน 20 ล้านบาท ให้แก่วัดบางอ้อยช้าง 6 ล้านบาท , วัดศรีเรืองบุญ กับวัดใหม่ผดุงเขตแห่งละ 3 ล้านบาท จากนั้นจำเลยที่ 2 ได้มาขอรับเงินคืนไปจากวัดบางอ้อยช้างจำนวน 4.8 ล้านบาท , วัดศรีเรืองบุญ กับวัดใหม่ผดุงเขตแห่งละ 2.4 ล้านบาท ซึ่งการเบิกจ่ายงบประมาณนั้นจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าวัดทั้ง 3 แห่ง ไม่มีโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาในสังกัดหรือตั้งอยู่ที่จะมีสิทธิได้รับเงิน แล้วจำเลยที่ 1-4 กับ นายนพรัตน์ อดีต ผอ.พศ. ได้เบียดบังเงินงบประมาณไปโดยทุจริต เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ส่วนตนสร้างความเสียหาย แก่สำนักงาน พศ. ซึ่งจำเลยที่ 1-4 ให้การปฏิเสธ พร้อมสืบพยานต่อสู้คดี ระหว่างพิจารณาคดีทั้งหมดถูกคุมขังในเรือนจำและทัณฑสถานหญิงกลาง

ขณะที่ศาล พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยในชั้นไต่สวนแล้ว พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-4 มีความผิดตามฟ้อง ซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์ฯ ตาม ป.อ.มาตรา 147 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักสุด ให้จำคุกจำเลยที่ 1-4 คนละ 4 กระทงรวมโทษทั้งสิ้น 44 ปี (กระทงแรกจำคุก 9 ปี , กระทงที่ 2-3 จำคุกกระทงละ 10 ปีเป็น 20 ปี , กระทงที่ 4 จำคุก 15 ปี)

โดยทางนำสืบของจำเลยที่ 1-4 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้างจึงลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยไว้คนละ 29 ปี 4 เดือนและให้จำเลยร่วมกันชดใช้เงิน 28,500,000 บาท คืนสำนักงาน พศ.ผู้เสียหายด้วย

พร้อมกับนับโทษของ นายพนม อดีต ผอ.พศ.จำเลยที่ 1 ต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อท. 253/2561 (ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ 27 ธ.ค.62 จำคุก 20 ปี) , อท.254/2561 (ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ิ 5 มี.ค.63 จำคุก 12 เดือน) , อท.257/2561 (ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ิ 19 ก.พ.63 จำคุก 2 ปี 12 เดือน) , อท.32/2562 (ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ 19 พ.ค.63 จำคุก 13 ปี 4 เดือน) , อท.280/2561 (ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ 19 พ.ค.63 จำคุก 23 ปี 4 เดือน), อท.43/2562 (ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ 19 พ.ค.63 จำคุก 4 ปี) ของศาลอาญาคดีทุจริตฯ นี้ด้วย

ส่วนนายบุญเลิศ อดีต ผอ.กองพุทธศาสนฯจำเลยที่ 2 ให้นับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อท.254/2561(ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ 5 มี.ค.63 จำคุก 9 เดือน) , อท.280/2561, อท.32/2562 (ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ 19 พ.ค.63 จำคุก 13 ปี 4 เดือน) ของศาลนี้ด้วย

สำหรับนายแก้ว อดีตนักวิชาการกองพุทธศาสนศึกษา จำเลยที่ 3 และนางพรเพ็ญ อดีตนักวิชาการ กองพุทธศาสนศึกษา จำเลยที่ 4 ให้นับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อท.254/2561(ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ 5 มี.ค.63 จำคุก 12 เดือน) , อท.32/2562 (ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ 19 พ.ค.63 จำคุก 13 ปี 4 เดือน) ของศาลนี้ด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับโทษจำคุกในส่วนของนายพนม ศรศิลป์ อดีต ผอ.พศ.จำเลยที่ 1 ที่ศาลมีคำพิพากษารวม 7 สำนวนในความผิดการทุจริตงบ พศ.นั้น รวมเวลาจำคุกทั้งสิ้น 91 ปี 36 เดือน และมูลค่าเงินเสียหายที่ต้องร่วมกับพวกชดใช้คืนสำนักงาน พศ.ทั้งสิ้น 85,207,235 บาท แต่อย่างไรก็ดีโทษใน 7 จำนวนดังกล่าวยังเป็นเพียงการวินิจฉัยของศาลชั้นต้นซึ่งคู่ความยังยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลอุทธรณ์ได้อีกตามสิทธิและขั้นตอนกฎหมาย