ซัดกฟผ.ทำอีไอเอท่าเรือขนถ่านหินกระบี่บิดเบือน
นักวิชาการ-ชาวบ้านจังหวัดกระบี่ งัดข้อมูลสู้เรียกร้องให้ยุติโครงการท่าเรือขนถ่านหินและโรงไฟฟ้า ชี้กระทบสิ่งแวดล้อมในพื้นที่
นักวิชาการ-ชาวบ้านจังหวัดกระบี่ งัดข้อมูลสู้เรียกร้องให้ยุติโครงการท่าเรือขนถ่านหินและโรงไฟฟ้า ชี้กระทบสิ่งแวดล้อมในพื้นที่
เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 58 ที่อาคารประชาธิปก-ราไพพรรณี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิชาการและกลุ่มชาวบ้านภาคใต้ ร่วมประชุมเสวนาเพื่อจัดทำข้อเสนอต่อรายงานการวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) กรณีการก่อสร้างท่าเทียบเรือขนถ่านหิน อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ โดยยืนยันว่า โครงการดังกล่าวกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิตของคนในพื้นที่อย่างรุนแรง รวมถึงการทำอีไอเออย่างไม่ตรงไปตรงมา ซึ่งจะเดินหน้ายื่นหนังสือพร้อมเหตุผลคัดค้าน ให้สำนักนโยบายและแผน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ประกอบการพิจารณาต่อไป
ปัญหาที่ชาวบ้านและนักวิชาการได้นำเสนอนั้น รศ.ดร.เรณู เวชรัชต์พิมล คณะวิทยาศาสตร์ ม.ศิลปากร เผยว่าพื้นที่ดังกล่าวมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง มีความสำคัญทางระบบนิเวศ จึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ (แรมซาร์ไซต์) และเป็นพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 ซึ่งทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ทราบดี แต่เนื่องจากประกาศแต่ละครั้งมีอายุ 5 ปี ซึ่งทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ปล่อยให้สิ้นสุดอายุ จึงเป็นช่องทางให้ กฟผ.เข้ามาทำอีไอเอ เพื่อสร้างท่าเรือและโรงไฟฟ้าขึ้น
นายธีรพจน์ กษิรวัฒน์ นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวเกาะลันตา กล่าวว่า จ.กระบี่ สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นอันดับที่ 4 ของประเทศ เป็นจำนวนกว่า 65,000 ล้านบาท (ปี 56) ด้วยความงามและอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเล และท้องทะเลยังถือเป็นพื้นที่ทำกินของชาวบ้านจำนวนมากที่นี่ ถือเป็นรายได้กว่า 40% ของคนกระบี่ หากมีการสร้างท่าเรือขนถ่านหินและโรงไฟฟ้าจะกระทบกับทั้งหมด
นอกจากนี้ประเด็นที่ กฟผ.ได้อ้างว่าภาคใต้นั้นมีไฟฟ้าไม่พอใช้ ศุภกิจ นันทะวรการ นักวิจัยพลังงาน มูลนิธินโยบายสุขภาวะ บอกว่าไม่เป็นความจริง หลักการผลิตไฟฟ้านั้นจะกำหนดให้มีการสำรองส่วนเกินอยู่ 15% เพิ่มเติมจากปริมาณการใช้ไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่งในขณะนี้ภาคใต้มีส่วนเกินถึง 33% หากมีการสร้างเพิ่มอีกจะยิ่งล้น และเป็นการเพิ่มต้นทุนค่าไฟของประชาชนอย่างไร้ประโยชน์
น.ส.จริยา เสนพงศ์ ผู้ประสานงานด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรีนพีซ กล่าวว่าการใช้ถ่านหินก็ไม่ใช่ทางเลือกที่สะอาดแม้แต่น้อย ในหลายๆประเทศ อย่าง สหรัฐอเมริกา และเยอรมัน ได้หันหลังให้กับโรงไฟฟ้าถ่านหิน เนื่องจากเป็นการผลิตที่สร้างมลพิษและทำลายสุขภาพของผู้คน โรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 500 เมกะวัตต์ ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เท่ากับรถยนต์ 6 แสนคัน แต่ทำไมประเทศไทยกลับยังมุ่งสู่การผลิตไฟฟ้าด้วยถ่านหินอีก
ทั้งนี้ชาวบ้านได้กล่าวว่าการทำอีไอเอของ กฟผ. นั้นไม่ชอบด้วยหลายประการ สมศักดิ์ นบนอบ ผู้ใหญ่บ้าน อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ บอกว่าการลงพื้นที่ทำอีไอเอทั้งสามครั้งถือว่าฉาบฉวย ในครั้งแรก มีการให้ข้อมูลเฉพาะด้านดี ทำให้ชาวบ้านต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม ซ้ำร้ายคนที่มาเข้าร่วมส่วนมากเป็นคนที่ถูกจ้างมา ส่วนครั้งที่ 2 นั้นไม่มีการประกาศให้ใครรับรู้ ทำเพียงลงมาชวนคุยพร้อมถ่ายรูปกับชาวบ้านกลุ่มย่อย เมื่อชาวบ้านไม่ยอมจึงทำให้ครั้งที่ 3 ต้องนำเจ้าหน้าที่มาล้อมกรอบกีดกันชาวบ้านอย่างที่ปรากฏ
นางณัติกาญจน์ สูติพันธ์วิหาร นักวิชาการอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ยังบอกอีกว่า รายงานอีไอเอดังกล่าวมีการศึกษาที่ไม่คลอบคลุมและไม่ถูกต้องอย่างมาก มีการเปลี่ยนแปลงและบิดเบือนเนื้อหา รวมถึงโครงการนี้จัดอยู่ในประเภทโครงการรุนแรงฯ ที่ต้องทำอีเอชไอเอ (EHIA)อีกด้วย


