posttoday

“เชาวนนท์ ” ขอนโยบายการเมืองใหม่ ดันเศรษฐกิจดิจิทัล ไม่เอื้อนายทุน

20 ธันวาคม 2568

“เชาวนนท์ คลังเปรมจิตต์” หนุนแนวคิดพรรคการเมือง ดันเศรษฐกิจดิจิทัล ด้วยนวัตกรรม เมินแนวคิดสวยหรู เอื้อนายทุน เดินหน้าเชื่อมสตาร์ทอัพไทยสู่เวทีโลก

จุดเปลี่ยนประเทศไทย จะเกิดขึ้นหลังเลือกตั้งวันที่ 8 ก.พ.2569 นี้หรือไม่ กำลังถูกจับตามองจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่ปัจจุบันเต็มไปด้วยคนรุ่นใหม่ “โพสต์ทูเดย์” มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ “เชาวนนท์ คลังเปรมจิตต์” กรรมการและอุปนายกด้านต่างประเทศ สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย ทายาทรุ่นที่ 2 บริษัท สยามมิตซุย จำกัด บริษัทเครื่องปรับอากาศของคนไทย และ ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพสายมู บริษัท อัลติเมท เดสตินี่ จำกัด กับความหวังรัฐบาลใหม่ ที่เขาคาดหวังว่าจะมีนโยบายที่ ไม่ “สร้างภาพ”  ไร้ “คอร์รัปชั่น ” ที่สำคัญคือต้อง “ไม่เอื้อนายทุน” กลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง 

นโยบายต้องเน้นผลประโยชน์ส่วนร่วม ไม่เอื้อนายทุน-ไม่คอร์รัปชั่น

“เชาวนนท์” กล่าวว่า อยากเห็นนโยบายของพรรคการเมืองที่ไม่สร้างภาพ หรือเป็นนโยบายการลงทุนเพื่อเอื้อพวกพ้อง หรือ ผลประโยชน์ของนายทุน การขับเคลื่อนประเทศด้วยนโยบายนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในเวลานี้ เป็นสิ่งจำเป็น เพราะเศรษฐกิจดิจิทัล จะช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้เร็วที่สุด การส่งต่อนวัตกรรมสู่สากล โดยเฉพาะการสนับสนุนผ่านสตาร์ทอัพ จะเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถกระตุ้นตัวเลข GDP ของประเทศให้เติบโตได้

รัฐบาลชุดหน้าควรสร้าง Ecosystem ที่เอื้อต่อการเติบโตตั้งแต่วัยเรียน เช่น ในสหรัฐอเมริกาที่หากนักศึกษามีไอเดียและสามารถพิสูจน์แนวคิดได้ ก็ควรมีนักลงทุนพร้อมสนับสนุนเงินทุนทันทีโดยไม่ต้องรอให้มียอดขายมหาศาล

“เชาวนนท์ ” ขอนโยบายการเมืองใหม่ ดันเศรษฐกิจดิจิทัล ไม่เอื้อนายทุน

นอกจากนี้ยังมองว่านโยบายที่ดีต้องเน้น ผลประโยชน์ส่วนรวมและสร้างผลกระทบในวงกว้าง มากกว่าเรื่องพวกพ้อง หรือการคอร์รัปชั่น และต้องเป็นธุรกิจที่เติบโตได้จริงในระยะยาว ไม่ใช่เพียงแค่การทำภาพลักษณ์ให้ดูสวยงามเท่านั้น

ชูบทบาท "Global Day One"

สำหรับบทบาทของสมาคมฯในฐานะที่ “เชาวนนท์” เพิ่งรับตำแหน่งอุปนายกสมาคมฯด้านต่างประเทศ คือ การนำสตาร์ทอัพบุกตลาดโลก และ การเดินหน้า ปรับ Mindset ของสตาร์ทอัพ ตั้งแต่วันแรกของการเริ่มธุรกิจ ที่ต้องคิดเพื่อขายตลาดโลก ไม่ใช่ คิดเพื่อขายแค่ในประเทศไทย

"Global Day One" คือ กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ โดยเขาอธิบายว่า ปัญหาสำคัญของสตาร์ทอัพไทยที่ผ่านมาคือการมี Local Mindset หรือการเน้นทำตลาดเฉพาะในประเทศตั้งแต่วันแรก ทำให้เมื่อเติบโตถึงจุดหนึ่งจะพบทางตัน และไม่สามารถสเกลต่อได้ แม้แต่ยูนิคอร์นบางรายก็ยังติดปัญหานี้

จากนี้ สมาคมฯ มุ่งเน้นการปรับมายเซ็ทให้กับกลุ่มสตาร์ทอัพให้เป็น Global Day One คือการออกแบบผลิตภัณฑ์และวางแผนบุกตลาดโลกตั้งแต่วันที่เริ่มก่อตั้ง เพราะหากวางโครงสร้างไว้เพื่อตลาดในประเทศตั้งแต่แรก การจะเปลี่ยน ไปสู่ตลาดสากลในภายหลังจะทำได้ยากมาก

นำร่องพาสตาร์ทอัพแมทชิ่งระดับโลก

“เชาวนนท์” กล่าวว่า เมื่อเร็วๆนี้ สมาคมฯได้พาสตาร์ทอัพไทยไปแมทชิ่งและออกบูธในตลาดพรีเมียมอย่างยุโรป พบว่าได้รับผลตอบรับดีเยี่ยมใน 2 งานหลัก ได้แก่

• งาน Slush งานประจำปีที่สำคัญของเมืองเฮลซิงกิ (Helsinki) ประเทศฟินแลนด์ เป็นงานระดับนานาชาติ ที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่เข้าสู่โลกสตาร์ทอัพและเทคโนโลยี ทั้งยังดึงดูดผู้ประกอบการและนักลงทุนจากทั่วโลกมารวมกันในงานนี้ โดยสมาคมฯร่วมกับสถานทูตและหน่วยงานภาครัฐพาสตาร์ทอัพ 10 ราย ไปนำเสนอผลงาน

• งาน AsiaBerlin Summit 2025: Connecting Startup Ecosystems for Diversity and Innovation เยอรมัน โดยมีผู้ประกอบการสตาร์ทอัพไทย ประมาณ 5-6 ราย ได้เข้าร่วมนำเสนอผลิตภัณฑ์ของบริษัท บนเวที พิชชิ่ง

เขากล่าวว่า ในเวทีตลาดยุโรปนั้น ผลตอบรับถือว่าดีเกินคาด มีผู้สนใจเข้าฟังการ พิชชิ่ง จนห้องเต็มและมีการพูดคุยเจรจาธุรกิจต่อเนื่อง นักลงทุนในต่างประเทศให้ความสนใจตลาดอาเซียนที่มีประชากรกว่า 700 ล้านคนอย่างมาก ขณะเดียวกันสตาร์ทอัพไทยก็ได้เห็นสเกลการลงทุนที่แตกต่าง โดยในยุโรปอาจมีการพูดถึงตัวเลขการลงทุนสูงถึง 10-100 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าสเกลปกติที่เคยพบเห็น

สำหรับสตาร์ทอัพของประเทศไทยที่โดดเด่นและสามารถก้าวสู่ยูนิคอร์นได้ คือ สตาร์ทอัพเกี่ยวกับ AI เช่น “BOTNOI” AI Avatar ที่โต้ตอบแบบ Real-time และมีระบบแปลภาษา,สตาร์ทอัพเกี่ยวกับดาวเทียม เช่น RIFFAI ในการใช้ดาวเทียมสำรวจพลังงาน โดยทำงานคู่กับ AI ปัจจุบันขยายธุรกิจไปทั้งอังกฤษ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และกำลังมุ่งสู่สหรัฐฯ โดยมีผู้ก่อตั้งอายุเพียง 22 ปี

VEKIN (เวคิน) สตาร์ทอัพไทยสาย Deep Tech ที่โดดเด่นด้านเทคโนโลยีสีเขียว โดยพัฒนาแพลตฟอร์มที่ใช้ AI และบล็อกเชน เพื่อช่วยให้การลดคาร์บอนและตรวจสอบคาร์บอนฟุตพริ้นท์ทำได้ง่ายขึ้น ผ่านผลิตภัณฑ์อย่างแอปพลิเคชัน CERO ที่ช่วยสะสมแต้มจากการทำกิจกรรมลดคาร์บอนในชีวิตประจำวัน และนำไปแลกสิทธิพิเศษ สร้างความยั่งยืนให้องค์กรและบุคคลทั่วไป ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ความต้องการในตลาดยุโรป

สุดท้ายคือสตาร์ทอัพเกี่ยวกับ HealthTech เนื่องจากเป็นจุดแข็งสำคัญของไทยจากความเชี่ยวชาญด้านบริการทางการแพทย์และค่าใช้จ่ายที่แข่งขันได้ (เช่น การผ่าตัดไส้ติ่งในไทยราคา 5 แสนบาท ขณะที่ในสหรัฐฯ อาจสูงถึง 5 ล้านบาท) ดังนั้นประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางหรือฮับด้านสุขภาพด้วยบริการ ความสามารถในการรักษา ในราคาไม่สูง

ข่าวล่าสุด

ไปรษณีย์ไทย รับนโยบาย พร้อมเป็นช่องทาง ชำระภาษีนำเข้าต่างประเทศ