posttoday

"รวิศ หาญอุตสาหะ" เผย 4 ปัจจัยพา "ศรีจันทร์" รายได้โตหลักพันล้าน

06 ธันวาคม 2568

“ศรีจันทร์ โตได้เพราะโชคกับจังหวะ” เปิดมุมคิด รวิศ หาญอุตสาหะ ผู้นำที่พาผงหอมรุ่นคุณปู่ โตสู่หลักพันล้าน หลังรีแบรนด์มา 11 ปี

KEY

POINTS

  • “ศรีจันทร์ โตได้เพราะโชคกับจังหวะ” เปิดมุมคิด รวิศ หาญอุตสาหะ ผู้นำที่พาผงหอมรุ่นคุณปู่ โตสู่หลักพันล้าน 
  • ปักหมุดพาชื่อ BANGKOK 1948 บนโปรดักต์ ลุยตลาดโลก 
  • ชี้ธุรกิจมีกำไรใช่จะอยู่รอดเสมอไป จะเจ๊งก็ต่อเมื่อ “กระแสเงินสดหมด” ผู้ประกอบการทุกคนต้องเข้าใจระบบ - งบบัญชี 

การเติบโตของ “ศรีจันทร์” เริ่มต้นจากร้านขายยาเล็ก ๆ เมื่อ 76 ปีก่อน ก่อนจะเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจาก “ผงหอมศรีจันทร์” เวชสำอางในตำนานของยุคคุณปู่คุณย่า จนมาถึงวันนี้ “รวิศ หาญอุตสาหะ” รุ่นที่สาม ได้พาแบรนด์พลิกโฉมครั้งใหญ่และเติบโตแบบก้าวกระโดด หลังรีแบรนด์ให้ภาพลักษณ์ดูทันสมัยขึ้น จนทำยอดขายปีแรกได้ราว 10 ล้านบาท (10 ปีก่อน) และเดินหน้าขยายสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง จนก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำตลาด T-Beauty ยอดขายแตะระดับหลักพันล้านบาท

 

เมื่อผงหอมดั้งเดิมไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป

รวิศ เล่าให้โพสต์ทูเดย์ฟังว่า จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อรูปแบบผงหอมดั้งเดิมที่ต้องผสมน้ำก่อนใช้ เริ่มไม่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ เขาจึงตัดสินใจรีแบรนด์ครั้งใหญ่เมื่อกว่าสิบปีก่อน พร้อมออกสินค้า “แป้งฝุ่น” ที่ต่อยอดจากดีเอ็นเอเดิม และค่อย ๆ ขยายไลน์ให้ครอบคลุมครบทุกเซกเมนต์ ทั้ง Base Makeup (แป้ง–รองพื้น), Sun Care (กันแดด) และ Skincare

 

อีกหนึ่งการตัดสินใจสำคัญ คือการรักษาชื่อแบรนด์ “ศรีจันทร์” ไว้เช่นเดิม เพราะต้องการเห็นแบรนด์ไทยยืนอยู่ท่ามกลางแบรนด์เกาหลี ญี่ปุ่น และตะวันตกบนชั้นวางร้านเครื่องสำอาง นอกจากนี้ ยังได้แรงบันดาลใจจากแบรนด์ระดับโลกที่มักใส่ชื่อเมืองอย่าง Paris หรือ New York ใต้โลโก้ รวิศจึงเลือกเติมคำว่า “BANGKOK 1948”พื่อบอกเล่าต้นกำเนิดและความภาคภูมิใจในความเป็นไทยของแบรนด์

11 ปีแห่งการเติบโต-จาก 10 ล้าน สู่ 2,000 ล้าน

ตลอด 11 ปีหลังการรีแบรนด์ “ศรีจันทร์” มีพัฒนาการที่ชัดเจนมาก จากเดิมผงหอมศรีจันทร์ขายได้เพียงปีละ 10 ล้านบาทถึงหลักพันล้าน ซึ่งปีนี้คาดว่าปีจะปิดยอดที่ราว 2,100–2,200 ล้านบาท ทั้งนี้การเติบโตจาก 10 ล้าน สู่กว่า 2,000 ล้าน คือหลักฐานชัดเจนว่า “การรีแบรนด์ได้ผล” และตลาดยังมีโอกาสอีกมาก

"รวิศ หาญอุตสาหะ" เผย 4 ปัจจัยพา "ศรีจันทร์" รายได้โตหลักพันล้าน

4 ปัจจัยความสำเร็จ อาศัยโชคกับจังหวะ

เขามองความสำเร็จมาจาก 4 ปัจจัยหลัก คือ 

 

1. โชคกับจังหวะ เช่น คู่แข่งเราที่ทำมาพร้อมกันสิบปี เขาพัฒนาสินค้าดีเหมือนกัน คนไทยซื้อแบรนด์ไทยเยอะขึ้น ถ้าเทียบกับสมัยก่อน นิยมใช้ของต่างประเทศ  คู่แข่งก็ช่วยกันผลักดันในตลาด ทุกแบรนด์ในตลาดช่วยส่งเสริมกัน

 

"ผมมองว่าเป็นจังหวะที่ดี ทำให้เราโตขึ้น ไปพร้อมกับหลาย ๆ แบรนด์ และโชคดีที่ลูกค้าคอยสนับสนุน ที่ใช้แล้วชอบ และบอกต่อแบบปากต่อปาก ทำให้แบรนด์ขยายฐานได้รวดเร็ว ซึ่งรวิศย้ำว่าทีมงานซาบซึ้งมาก แม้ “จังหวะ” จะเป็นสิ่งที่อธิบายเป็นเหตุผลไม่ได้ แต่มันมีอยู่จริง และเป็นตัวแปรสำคัญในการเดินทางของธุรกิจ"

 

2.ความเข้าใจลูกค้า สินค้าห้ามเดาเอง ต้องพยายามติดตามว่าลูกค้าชอบอะไร อยากได้ของแบบไหน และเหตุผลที่สินค้าบางตัวไม่ประสบความสำเร็จคืออะไร ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ความผิดพลาดจะน้อยลง 

 

3.ความหมกมุ่นกับคุณภาพสินค้า ศรีจันทร์ออกสินค้าค่อนข้างช้า แต่เป็นเพราะต้องการทดสอบอย่างระมัดระวัง เพื่อมั่นใจว่าลูกค้าจะได้สินค้าที่มีคุณภาพดีที่สุด

 

4.ระบบที่ดี ระบบหลังบ้านเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด แม้จะไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุก แต่หากองค์กรโตแล้วระบบตามไม่ทัน อาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ได้ เช่นบริหารเงินสดไม่ได้ ก็เจ๊งได้เลย 

"รวิศ หาญอุตสาหะ" เผย 4 ปัจจัยพา "ศรีจันทร์" รายได้โตหลักพันล้าน

ขายดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องกลับมาดูระบบหลังบ้านด้วย

นอกจากนี้ รวิศ เล่าขยายความถึง “ระบบ” ว่า ต้องมีระบบติดตามผล (Tracking System) ทำอะไรก็ตาม ต้องวัดผลได้ เช่น ทำแคมเปญไปแล้วขายได้เท่าไหร่ ทราฟฟิกจากไหน แปลงยอดกี่เปอร์เซ็นต์ ตรงนี้ทำให้เรารู้ว่าทำถูกทางไหม ต่อมาต้องมีระบบจัดการสต๊อก–สินค้า (Inventory System) ถ้าไม่ดูแลให้ดี ธุรกิจสะดุดทันที

 

ต้องรู้ระบบการเงิน ไม่อย่างงั้นเจ๊ง

สำคัญที่สุดคือผู้ประกอบการต้องรู้ระบบบัญชีและการเงิน ไม่ว่าเราจะมาจากสายศิลป์ วิทย์ หรือชอบชงกาแฟ หรือทำแบรนด์อะไรก็ตามเราต้องเข้าใจการเงินและบัญชี เพราะมันเหมือน “ใบตรวจสุขภาพธุรกิจ” ที่บอกความจริงว่าธุรกิจเราดีจริงหรือแค่คิดไปเอง

"รวิศ หาญอุตสาหะ" เผย 4 ปัจจัยพา "ศรีจันทร์" รายได้โตหลักพันล้าน

รวิศ ยกตัวอย่าง “บริษัทมีกำไร ไม่ได้แปลว่าอยู่ได้”  บริษัทที่กำไรยังเจ๊งได้ เพราะสิ่งที่ทำให้บริษัทอยู่ได้จริง ๆ คือ “กระแสเงินสด (Cash Flow)”

 

ตามหลักแล้ว ถ้าธุรกิจมีกำไร กระแสเงินสดอาจจะดี แต่ในความเป็นจริงไม่เสมอไป เช่น

  • มีสต๊อกค้างมากเกินไป เงินสดก็ถูกดูดออก
  • ขายของได้เยอะ แต่เก็บเงินไม่ได้ ลูกหนี้ล้น ธุรกิจก็ขาดสภาพคล่อง
  • สุดท้ายคนที่ต้องควักเงินมาหมุนก็คือเจ้าของเอง

 

หลายธุรกิจล้มเพราะไม่ดูจุดนี้ ทั้งที่บางบริษัทขาดทุน 5 ปียังอยู่ได้ ก็เพราะมีเงินสดเติมเข้ามาเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะจากนักลงทุนหรือจากเงินกู้ ธุรกิจจะเจ๊งจริง ๆ ก็ต่อเมื่อ “กระแสเงินสดหมด” เท่านั้น

 

ดังนั้นผู้ประกอบการอย่างน้อยต้องรู้จักและดู 3 งบนี้ให้เป็น

  • งบดุล
  • งบกำไรขาดทุน
  • งบกระแสเงินสด (อันนี้สำคัญที่สุด ควรดูบ่อยที่สุด)

 

ปกติปิดงบทุกเดือน ก็ควรดูอย่างน้อยเดือนละครั้ง และต้องดูแบบ “เข้าใจ” ไม่ใช่ดูผ่าน ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับธุรกิจตอนนี้

 

“ผมเชียร์มากว่าผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการควรไปเรียนเรื่องนี้ ไม่ได้ยากเลย ใช้แค่บวก ลบ คูณ หารพื้นฐาน แต่ช่วยป้องกันปัญหาใหญ่ได้มหาศาล และทั้งหมดนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของการวางระบบการเงินให้แข็งแรง เพื่อนำธุรกิจเดินไปสู่เป้าหมายในอีก 5–10 ปีข้างหน้าอย่างมั่นคง”

"รวิศ หาญอุตสาหะ" เผย 4 ปัจจัยพา "ศรีจันทร์" รายได้โตหลักพันล้าน

T-Beauty ศักยภาพใหม่ของไทย—แข็งแรงทั้งระบบ

อย่างไรก็ตาม ตลาดบิวตี้ไทยในมุมศรีจันทร์ รวิศ มองว่า ตลาดตอนนี้กำลังโตมาก จากงานอุตสาหกรรมเครื่องสำอางที่จัดขึ้นในปีนี้ มีรายงานว่าประเทศไทยมีผู้ประกอบการที่ทำแบรนด์เครื่องสำอางกว่า 11,000 แบรนด์ ซึ่งถือว่าเยอะมาก และสะท้อนว่าประเทศเรามี ecosystem ด้านความงามที่แข็งแรงจริง ๆ

 

เราไม่ได้มีแค่โรงงานผลิตระดับโลกหลายแห่งในไทย แต่ยังมีหน่วยงานวิจัยด้านเครื่องสำอางจำนวนมาก รวมถึงวัตถุดิบไทยที่ถูกพัฒนาอย่างจริงจัง ตอนนี้สารสกัดจากสมุนไพรไทย ดอกไม้ไทย และพืชไทยหลายชนิดได้รับรางวัลระดับโลก ผู้เชี่ยวชาญในวงการก็ยอมรับว่านี่คือมาตรฐานที่ทัดเทียมต่างประเทศ

 

“ผมเชื่อว่าไทยมีศักยภาพที่จะผลักดันสินค้าความงามและสุขภาพ หรือ T-Beauty ให้กลายเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศได้ ทั้งจากเสน่ห์ทางวัฒนธรรมและคุณภาพของผลิตภัณฑ์เอง โมเดลความสำเร็จที่ชัดที่สุดก็คือเกาหลี แม้เรายังไม่ถึงระดับนั้น แต่ผมมองว่าเรากำลังเดินมาถูกทางแล้ว"

 

ด้านการผลิตเองก็แข็งแรงมาก ไม่ว่าจะเป็นโรงงานที่มีแบรนด์ในเครือ หรือโรงงาน OEM ไทยที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แต่ละโรงงานมีความถนัดแตกต่างกัน ทั้งรายใหญ่ กลาง เล็ก แต่อุตสาหกรรมโดยรวมถือว่าแข็งแรง มีศักยภาพผลิตสินค้าที่คุณภาพดี และรองรับกระบวนการที่ซับซ้อนได้แบบครบวงจร

 

ถ้าอยากให้ T-Beauty ไปได้ไกลกว่าเดิม ปัจจัยสำคัญที่สุดน่าจะเป็นคำถามว่า “จะทำอย่างไรให้แบรนด์ไทยมาร่วมมือกันได้มากขึ้น?”

 

ซึ่งต้องยอมรับว่า “งานร่วมกันเยอะๆ” ไม่ใช่สิ่งที่คนไทยถนัด ถ้าจะผลักดันให้ T-Beauty ทะลุออกไปได้จริง ก็ต้อง “ไปด้วยกัน” และต้องมีการ “จับมือกันในระดับหนึ่ง”ที่ผ่านมาเราคุยกันมาระยะหนึ่งแล้ว หลายแบรนด์ก็เชื่อเหมือนกันว่า
ถ้าจะขับเคลื่อน T-Beauty ต้องมีเจ้าภาพจริงจัง และเจ้าภาพนั้นต้อง “มีอำนาจในการตัดสินใจ” ด้วย ซึ่งก็อาจต้องเป็นภาครัฐ

 

อนาคตศรีจันทร์ หันทำอะไรสนุก ๆ 

อย่างไรก็ตาม รวิศ ทิ้งท้ายว่า ศรีจันทร์มีความตั้งใจอยากให้สินค้า “ผูกพันลึกซึ้ง” ทั้งกับลูกค้าและกับประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในเชิงวัตถุดิบ เทคโนโลยี และงานวิจัย ซึ่งตอนนี้เราก็กำลังพูดคุยและประสานงานกับหลายฝ่ายเพื่อทำให้ 3 เรื่องนี้เกิดขึ้นจริง

 

ประเทศไทยยังมีวัตถุดิบที่มีศักยภาพอีกมาก ตัวอย่างง่าย ๆ คือกันแดดของเราตัวหนึ่งที่มี “สารสกัดจากกุหลาบมอญ” กุหลาบไทยที่ปลูกทางภาคเหนือ ดอกเล็ก ๆ แต่งานวิจัยพบว่าช่วยเสริมการทำงานของ SPF และงานวิจัยตัวนี้ก็ได้รับรางวัลด้วย เราจึงนำมาใช้ในกันแดด เพื่อให้ลูกค้าได้ประสิทธิภาพที่ดี พร้อมกับใช้วัตถุดิบท้องถิ่นของไทยไปด้วย นี่เป็นตัวอย่างของสิ่งที่เราอยากทำให้มากขึ้นในอนาคต 

 

ในด้านแบรนดิ้ง พูดเรื่องความเป็นไทยอยู่แล้ว แต่ต่อจากนี้เราอยากเล่าในแบบที่ “สนุกขึ้น และแตกต่างขึ้น”  ในอีกมุมหนึ่ง เราก็ยังต้องคิดว่าจะยืนอยู่ตรงไหนในตลาดโลก 

 

หรือแม้แต่ตลาด Wellness และ Longevity กำลังมาแรงมาก ซึ่งเราเองก็มีแผนจะเข้าไปในตลาดนี้แน่นอน แต่สิ่งที่อยากทำให้ต่าง คือการเล่าเรื่องผ่าน “รากฐานความเป็นร้านขายยา” ของเรา เรามีประสบการณ์จากยุคคุณปู่ที่ทำยาไทยโบราณ ซึ่งจริง ๆ มีองค์ความรู้ที่มีคุณค่าอยู่มาก เพียงแต่ต้องปรับให้ทันสมัยขึ้น ให้เหมาะกับบริบทใหม่ของการดูแลสุขภาพในยุคที่ผู้คนมองหาความยั่งยืนของสุขภาพและการชะลอวัย ดังนั้น ถ้ามองไปข้างหน้า ก็อาจได้เห็นแบรนด์ใหม่ ๆ จากเราในกลุ่มนี้ 

 

 

ข่าวล่าสุด

6 เมืองโลกกับสูตรลับ รับมือวิกฤตน้ำ บทเรียนจากรายงานล่าสุดของ WEF