สรุป 11 ประเด็นสำคัญจาก “พ.ร.บ.ลดโลกร้อนฉบับแรกของไทย”
สรุป 11 ประเด็นสำคัญ “พ.ร.บ.ลดโลกร้อนฉบับแรกของไทย”** กฎหมายใหม่ที่จะเปลี่ยนทั้งระบบเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมของประเทศ ทำไมกฎหมายนี้จึงสำคัญ และเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของยุค "Climate Change" ในไทย
KEY
POINTS
- 11 ประเด็นสำคัญ “พ.ร.บ.ลดโลกร้อนฉบับแรกของไทย”** กฎหมายใหม่ที่จะเปลี่ยนทั้งระบบเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมของประเทศ ทำไมกฎหมายนี้จึงสำคัญ และเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของยุค "Climate Change" ในไทย
- จัดตั้งโครงสร้างการกำกับดูแลระดับชาติและวางกรอบนโยบายที่ชัดเจน โดยมีการตั้งคณะกรรมการ 4 ชุดเพื่อกำหนดทิศทางและเป้าหมายของประเทศในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Net-Zero)
- นำกลไกทางเศรษฐศาสตร์มาใช้เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านเครื่องมือสำคัญ เช่น การจัดตั้ง "กองทุนภูมิอากาศ", ระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซ (ETS), และการเก็บ "ภาษีคาร์บอน" เพื่อให้ผู้ก่อมลพิษต้องรับผิดชอบต้นทุน
- สร้างระบบข้อมูลที่โปร่งใสและบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง โดยกำหนดให้ภาคส่วนต่างๆ ต้องรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซ, รับรองสถานะ "คาร์บอนเครดิต" ให้เป็นทรัพย์สินที่ซื้อขายได้, และมีบทลงโทษที่ชัดเจนสำหรับผู้ไม่ปฏิบัติตาม
เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบหลักการร่าง "พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" ซึ่งถือเป็นกฎหมายแม่บทด้าน climate-change ฉบับแรกของไทย วางกรอบใหญ่สำหรับการจัดการก๊าซเรือนกระจกทั่วประเทศ รองรับพันธกรณีภายใต้ United Nations Framework Convention on Climate Change (UNFCCC) และตั้งเป้าหมาย “คาร์บอนเป็นกลาง (Net-Zero)” และ “ปล่อยสุทธิเป็นศูนย์” อย่างจริงจัง
1) สถาบันกำกับดูแลระดับชาติ 4 คณะกรรมการหลัก
กฎหมายกำหนดให้ตั้ง 4 คณะกรรมการสำคัญ ได้แก่
- คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ — รับผิดชอบกำหนดนโยบาย เป้าหมาย และท่าทีระหว่างประเทศของไทย
- คณะกรรมการกองทุนภูมิอากาศ
- คณะกรรมการประเมินผลกองทุน
- องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก — กำกับดูแลการปล่อยก๊าซและมาตรการด้านคาร์บอนต่าง ๆ
2) ตั้ง “กองทุนภูมิอากาศ” เป็นนิติบุคคลของรัฐ
กองทุนนี้จะรับรายได้จากมาตรการด้านคาร์บอน เช่น ภาษีคาร์บอน ค่าธรรมเนียม หรือรายได้จากการซื้อขายคาร์บอนเครดิต แล้วนำไปสนับสนุนการลงทุนด้านพลังงานสะอาด การปรับตัวของชุมชน และโครงการลดก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ
3) ฐานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกระดับชาติ
ภาครัฐและเอกชนจะถูกบังคับให้ “เก็บข้อมูล – รายงาน” การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (emissions), การดูดซับ (carbon sinks) และลดก๊าซสุทธิ — เพื่อสร้างความโปร่งใส และมี “ทะเบียนก๊าซเรือนกระจก”ของประเทศ
4) แผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ
กฎหมายกำหนดให้มี “แผนแม่บท/แผนปฏิบัติการ” ระดับชาติ เพื่อให้ทุกหน่วยงานรัฐเดินตามเป้าหมายเดียวกัน และเป็นกรอบการลดก๊าซในระยะสั้น–กลาง–ยาว
5) ระบบซื้อขายสิทธิปล่อยก๊าซ (ETS)
มีการวางรากฐานให้ระบบ ETS ให้ภาคธุรกิจสามารถซื้อ ขาย โอน สิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ โดยจะมี “ทะเบียน & บัญชี” กำกับ พร้อมกติกาการจัดสรรสิทธิ
6) กลไก “ปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน” (CBAM)
กฎหมายรองรับการใช้งานมาตรการปรับราคาคาร์บอนระหว่างประเทศ (border-adjustment) ซึ่งหมายความว่า สินค้านำเข้าอาจต้องเสียค่าคาร์บอนตามปริมาณการปล่อยจากประเทศต้นทาง เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศ (though รายละเอียดยังต้องรอประกาศกฎหมายลำดับรอง)
7) “ภาษีคาร์บอน” สำหรับสินค้ากลุ่มเป้าหมาย
ร่างกฎหมายเสนอภาษีคาร์บอนสำหรับสินค้าหรือกิจกรรมที่ก่อให้เกิดปริมาณการปล่อยสูง เป็นหนึ่งในกลไกที่ทำให้ “ผู้ปล่อยมลพิษต้องจ่าย (polluter pays)” อย่างจริงจัง
8) ให้ “คาร์บอนเครดิต” เป็น “ทรัพย์สิน” ที่ซื้อขาย–โอน–ใช้ได้
คาร์บอนเครดิตที่ได้จากโครงการลดปล่อยก๊าซในประเทศ (และได้รับการรับรองตามเกณฑ์) จะถูกจัดให้เป็นทรัพย์สินทางกฎหมาย สามารถซื้อขาย โอน หรือใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซได้ โดยต้องจดทะเบียนกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก
9) แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Adaptation Plan)
นอกเหนือจากการลดปล่อยก๊าซ กฎหมายยังกำหนดให้ไทยต้องมีแผนป้องกันและปรับตัวต่อภัยจากสภาพอากาศ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง ฯลฯ — ทั้งในระดับชาติ ระดับจังหวัด และระดับท้องถิ่น โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐ
10) “เกณฑ์กลาง / Taxonomy” สำหรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ
เพื่อให้การลงทุนสีเขียว (green investment) มีมาตรฐาน กฎหมายตั้งให้มี “มาตรฐานกลาง” สำหรับการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (คล้ายแนวทาง taxonomy ด้านความยั่งยืน) เพื่อใช้เป็นอ้างอิงในนโยบาย การลงทุน และการให้เงินทุนสีเขียว
11) บทลงโทษสำหรับผู้ไม่ปฏิบัติตาม — สร้างแรงจูงใจให้ "จริงจัง"
ร่างกฎหมายครอบคลุมบทลงโทษ เช่น
- รายงานข้อมูลเท็จ ปรับ 30,000–300,000 บาท + ปรับรายวัน
- ไม่ส่งรายงานการปล่อยก๊าซ → ปรับไม่เกิน 100,000 บาท + ปรับรายวัน
เพื่อให้การรายงานและการลดปล่อยเป็นไปอย่างจริงจังและตรวจสอบได้
ทำไมกฎหมายนี้จึงสำคัญ จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของยุค "Climate Change" ในไทย
เป็นกฎหมายแม่บทฉบับแรกของไทยที่ “รวมมาตรการทุกมิติ” ทั้งฐานข้อมูล กองทุน ภาษีคาร์บอน การซื้อขายคาร์บอนเครดิต และการปรับตัวต่อภัยสภาพภูมิอากาศ ไม่ใช่แค่มาตรการเฉพาะจุดเหมือนที่ผ่านมา
เปิดทางให้ “เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (Low-carbon economy)” เป็นของจริงในบริบทไทย ส่งสัญญาณชัดเจนต่อภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม และนักลงทุนว่า ต้องเริ่ม “คาร์บอนโปร่งใส” และเตรียมพร้อมลงทุนเทคโนโลยีสะอาด
เสริมความน่าเชื่อถือให้ไทยในเวทีระหว่างประเทศ ภายใต้ UNFCCC และความตกลงด้านสภาพภูมิอากาศ เป็นหลักประกันว่าประเทศมีกรอบกฎหมายรองรับพันธกรณีและความรับผิดชอบต่อสภาพภูมิอากาศโลก
ขั้นตอนถัดไป และสิ่งที่ต้องจับตา
หลัง ครม.เห็นชอบ “หลักการ” แล้ว ตอนนี้กฎหมายจะเข้าสู่ขั้นตอน “ยกร่างกฎหมายลำดับรอง” และ “ประสานหน่วยงานรัฐ–เอกชน–ภาคธุรกิจ” เพื่อกำหนดรายละเอียด เช่น อัตราภาษีคาร์บอน, กติกา ETS/CBAM และกลไกกองทุนภูมิอากาศ
สำหรับภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะผู้ปล่อยก๊าซสูง ถือว่า “ต้องเตรียมตัว” ตั้งแต่วันนี้ เพราะกฎหมายจะทำให้ต้นทุนสิ่งแวดล้อมกลายเป็นต้นทุนทางการเงินที่จับต้องได้จริง (polluter-pays principle)


