คลังชง ครม.สัปดาห์หน้า เคาะอัปสกิลร้านค้า คนละครึ่งพลัส 4 แสนราย วงเงิน 800 ล้าน
คลังเตรียมเสนอ ครม.สัปดาห์หน้า อนุมัติโครงการเพิ่มยอดขาย เสริมทักษะดิจิทัลร้านค้าคนละครึ่ง พลัส 4 แสนราย รัฐสมทบสูงสุด 2,000 บาท ใช้งบ 800 ล้านบาท
KEY
POINTS
- กระทรวงการคลังเตรียมเสนอ ครม. ในสัปดาห์หน้า เพื่ออนุมัติมาตรการช่วยเหลือร้านค้าในโครงการคนละครึ่งพลัส
- ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาทักษะดิจิทัล จะได้รับเงินสมทบเพิ่ม (Top Up) 20% จากยอดที่รัฐร่วมจ่าย สูงสุดไม่เกิน 2,000 บาท
- ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมอบรม สามารถขอสินเชื่อ "สร้างงาน สร้างอาชีพ" จากธนาคารออมสินได้ในวงเงินไม่เกิน 50,000 บาท เพื่อต่อยอดธุรกิจ
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ ครั้ง 4/2568 เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2568 ว่า ที่ประชุมฯ อนุมัติโครงการเพิ่มยอดขาย ลดรายจ่าย เสริมทักทักษะให้กับผู้ประกอบการร้านค้าในโครงการคนละครึ่ง พลัส จำนวน 4 แสนร้านค้า วงเงินดำเนินการ 800 ล้านบาท ผ่าน 1 ใน 3 ช่องทาง เพื่อเพิ่มทักษะความรู้ในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ประกอบด้วย
1. เข้าร่วมกับแพลตฟอร์ม Food Delivery 4 แพลตฟอร์มในโครงการคนละครึ่ง พลัส ซึ่งเป็นการเพิ่มยอดขายผ่านออนไลน์ เพิ่มโอกาสทางการขายจากร้านค้าออฟไลน์สู่ออนไลน์
2. เพิ่มความรู้เสริมสภาพคล่อง ผ่านการสมัครและเรียนหลักสูตรเสริมสร้างความรู้ทางการเงินผ่านธนาคารออมสิน www.oomtang.gsb.or.th สำเร็จตามเงื่อนไข และ
3. การเพิ่มทักษะ AI โดยการสมัครเรียนหลักสูตร dbd academy ของกรมพัษฒนาธุรกิจการค้า ตั้งแต่วันที่ 19 พ.ย. – 19 ธ.ค. 2568
“คำว่า ‘พลัส’ ในโครงการนี้ ไม่ได้ช่วยแค่ลดรายจ่ายให้ประชาชน แต่ยังเพิ่มรายได้และยกระดับทักษะร้านค้าให้แข็งแรงขึ้นด้านดิจิทัล โดยรัฐบาลจะ สมทบเงิน (Top Up) เพิ่ม 20% หรือไม่เกิน 2,000 บาท จากยอดที่รัฐร่วมจ่ายในโครงการคนละครึ่ง เช่น หากประชาชนซื้อสินค้า 200 บาท รัฐสมทบ 100 บาท จะเพิ่มอีก 20 บาท รวมเป็น 120 บาทต่อรายการ ร้านค้ารับเงินเพิ่มสูงสุดไม่เกิน 2,000 บาทต่อราย ระหว่างวันที่ 19 พ.ย.–19 ธ.ค. 2568 เพื่อเป็นแรงจูงใจและ “ติดอาวุธดิจิทัล” ให้ผู้ประกอบการไทยก้าวสู่เศรษฐกิจยุคใหม่" นายเอกนิติ กล่าว
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุว่า รัฐบาลจะจ่ายเงินสมทบตามโครงการเพิ่มทักษะนี้ให้กับร้านค้าที่ผ่านเงื่อนไขที่กำหนด ในวันที่ 25 ธ.ค. 2568 โดยในช่วงเวลาโครงการนั้น จะมีระบบประเมินว่ามีร้านค้าใดที่ดำเนินการตามเงื่อนไขและได้รับสิทธิ์บ้าง ได้รับเงินเพิ่มคตนละเท่าไหร่ ตรงนี้ขึ้นอยู่กับยอดขาย
สำหรับร้านค้าที่จะเข้าร่วมตามเงื่อนไขที่ 1. คือ เข้าร่วมผ่านแฟลตฟอร์ม Food Delivery นั้น จะต้องมาลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเพิ่มทักษะภายในวันที่ 19 พ.ย. 2568 เป็นต้นไป ส่วนร้านค้าที่เข้าร่วมแพลตฟอร์ม Food Delivery อยู่แล้วหากจะรับสิทธิ์เงิน Top Up นี้ จะต้องมาลงทะเบียนใหม่ โดยเงื่อนไขเบื้องต้นคือจะต้องมียอดสั่งซื้อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์อย่างน้อย 5 ครั้งใน 1 เดือน จึงจะถือว่าเป็นไปตามเงื่อนไขที่รัฐบาลกำหนด
รัฐบาลให้ความสำคัญกับคำว่า พลัส เป็นอย่างมาก โดยสิ่งที่รัฐบาลจะให้เป็นแรงจูงใจในโครงการนี้ คือเงิน Top Up 20% ไม่เกิน 2 พันบาทต่อร้านค้า แต่ยืนยันว่าการรับเงิน Top Up นี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะจะมีการพรีเทส โพสต์เทสว่าสุดท้ายแล้วร้านค้าที่เข้าโครงการมีสกิลด้านดิจิทัลเพิ่มขึ้นหรือไม่อย่างไร และจะมีระบบประเมินผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังว่ามีใครได้สิทธิ์ไปแล้วบ้าง ได้คนละเท่าไหร่ซึ่งจะคิดจากยอดขายทั้งหมดทั้งการขายผ่านระบบออฟไลน์และออนไลน์ ภายในระยะเวลา 1 เดือนที่โครงการกำหนด และสิทธิ์เหลือเท่าไหร่ จะมีรายละเอียดบอกอย่างชัดเน ดังนั้นใครจึงจะเห็นว่าแต่ละวันมีสิทธิ์เหลือน้อยลงเรื่อย ๆ ตรงนี้ถือเป็นความโปร่งใสและความท้าทายของร้านค้าด้วย โดยจะมีการเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในสัปดาห์หน้า
นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า โครงการจะเปิดโอกาสให้ผู้ค้ารายย่อยสมัครเข้ารับการอบรมกับ ธนาคารออมสิน ซึ่งจะเป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาและให้คำปรึกษา พร้อมระบบสนับสนุนหลังบ้าน อาทิ ระบบจัดการร้านค้าออนไลน์ การทำมาร์เก็ตติ้งดิจิทัล และการใช้ซอฟต์แวร์บริหารร้านฟรีนาน 6 เดือน
"ผู้เข้าร่วมอบรมยังสามารถเข้าถึงโครงการสินเชื่อ สร้างงาน สร้างอาชีพ ของออมสิน วงเงินไม่เกิน 50,000 บาท เพื่อใช้พัฒนาธุรกิจต่อยอดสู่ตลาดดิจิทัล ทั้งนี้ การเข้าร่วมอบรมเป็นไปโดยสมัครใจ ไม่มีการบังคับ เพื่อเปิดโอกาสให้ร้านค้าพัฒนาอย่างยั่งยืนและพร้อมเข้าสู่เศรษฐกิจยุคใหม่อย่างแท้จริง"


