เจน 2 “ศรีฟ้า เบเกอรี่” ตั้งเป้าเบอร์ 1 เล็งเข้าตลาดภายใน 3 ปี
ทายาทรุ่น 2 “ศรีฟ้า เบเกอรี่” ตั้งเป้าขยายร้านสู่ 500 สาขา ทั่วประเทศในอีก 5 ปี ลุยเข้าสู่ตลาด SET 100 ภายใน 3 ปี ตอกย้ำความเชื่อ ธุรกิจอาหารคือ "ปัจจัย 4" ที่ไปต่อได้แบบไม่มีวันสิ้นสุด
KEY
POINTS
- ทายาทรุ่น 2 “พีรวัส เจนตระกูลโรจน์” ประกาศวิสัยทัศน์ครั้งใหญ่ ตั้งเป้าพา “ศรีฟ้า เบเกอรี่” ก้าวสู่การเป็นร้านเบเกอรี่อบสดอันดับ 1 ของประเทศไทย
- กางแผนขยายสาขาเชิงรุก ปักหมุดเพิ่มสาขาทั่วประเทศให้ครบ 500 สาขาภายในปี 2573 จากปัจจุบันที่มีอยู่ 63 สาขา เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคในทุกพื้นที่
- เตรียมความพร้อมเต็มกำลัง วางเป้าหมายนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายใน 3 ปี เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและรองรับการเติบโตในอนาคต
“ผมต้องบอกว่า ตอนแรกเลยเนี่ย ผมไม่ได้ชอบธุรกิจที่บ้านเลย ตั้งแต่เด็ก เวลาปิดเทอมหรือกลับบ้านจากโรงเรียน คุณพ่อจะให้ผมช่วยทำงาน ซึ่งเป็นงานที่เราไม่ชอบ เช่น การถูกใช้ให้ไปล้างพวกถาดอบขนม หรือไปถูพื้น ทำให้ภาพจำในวัยเด็กคือการโดนใช้ทำงานตลอดเวลา ไม่ใช่งานเชิงบริหารเลย” “พีรวัส เจนตระกูลโรจน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีฟ้าโฟรเซ่นฟู้ด จำกัด ทายาทรุ่น 2 ศรีฟ้า เบเกอรี่ เล่าถึงความทรงจำวัยเด็กที่โตมากับธุรกิจเบเกอรี่ของคุณพ่อ
เห็นอนาคตธุรกิจอาหาร ต้องไปได้ไกล
พร้อมกับอธิบายเพิ่มเติมว่า แม้จะไม่ชอบ แต่ก็มีจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาเริ่มสนใจที่จะกลับมาสานต่อธุรกิจ ซึ่งมาจากการที่ได้เห็นธุรกิจของที่บ้านเติบโตขึ้นตามกาลเวลา คุณพ่อเริ่มมาจากเล็กๆ ขายวัยแรกได้ 35 บาท ก็จริง แต่เขาก็เริ่มเห็นความก้าวหน้าตั้งแต่มีแค่สาขาเดียว จนมี 3-4 สาขา เริ่มมีโรงงานเล็กๆ และขยายไป 10 สาขา
ในช่วงมัธยมปลาย ประมาณ ม. 3 ม. 4 ทำให้เขาเริ่มรู้สึกว่า “ธุรกิจอาหารมันดีนะ” เมื่อมองเทียบกับธุรกิจของเพื่อนๆ ที่โตมาด้วยกันในยุคนั้น (ประมาณ 30 ปีที่แล้ว) ธุรกิจการ์เมนต์ (เสื้อผ้า) เริ่มสู้ราคาจากจีนไม่ได้ ทำให้ครอบครัวเพื่อนบางคนที่เคยสบายต้องประสบปัญหา ขณะที่ธุรกิจของคุณพ่อสาขาเยอะขึ้น คนเยอะขึ้น เริ่มมีการเปลี่ยนรถ และเริ่มทำโรงงาน ทำให้เขามีความเชื่อว่า อาหารนี่แหละเป็นธุรกิจที่ไปได้เรื่อยๆ เพราะมันเป็นปัจจัย 4
ด้วยเหตุนี้ พอเรียนจบมา เขาจึงเลือกเรียน Food Science (วิทยาศาสตร์การอาหาร) เพราะเชื่อในธุรกิจนี้ แม้กระทั่งตอนที่เลือกเรียน ก็ยังไม่ได้คิดว่าจะกลับมาทำที่บ้านด้วยซ้ำ แต่พอเริ่มเห็นว่าธุรกิจดีขึ้นเรื่อยๆ เช่น คุณพ่อถอยรถกระบะใหม่ทุก 2-3 ปี หรือพาลูกไปเที่ยวต่างประเทศ และส่งน้องไปเรียนสิงคโปร์ได้ เขาจึงเข้าสู่ธุรกิจเลยทันทีหลังจากเรียนจบ และในช่วงที่กำลังจะเรียนจบและทำวิทยานิพนธ์ เขาก็เลือกทำหัวข้อเกี่ยวกับ Frozen Dough โดยใช้การทดลองที่บ้านเพราะต้องใช้อุปกรณ์ที่เกี่ยวกับเบเกอรี่
เริ่มจากการแก้ปัญหาเล็กๆ-สร้างการยอมรับจากรุ่นเก๋า
ช่วงที่กลับมาทำวิทยานิพนธ์ที่บ้านนี่เอง ทำให้เขาได้เห็นสภาพการทำงาน และรับรู้สถานการณ์ต่างๆ
ตอนนั้นป๊ากำลังจะขยายโรงงาน มี 7-Eleven มาติดต่ออยากได้เค้กฝอยทอง และกำลังจะซื้อเครื่องจักรจากอิตาลีเข้ามา ป๊าขอให้ผมช่วย เพราะท่านพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เนื่องจากผมเรียนอินเตอร์มา พอทำไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็คือ ออกไปไม่ได้แล้ว เพราะมันมีความรับผิดชอบเยอะ มันทิ้งไม่ได้
เมื่อเข้ามาร่วมธุรกิจแล้ว ในธุรกิจครอบครัวที่มีการส่งไม้ต่อ ย่อมมีความแตกต่างในเรื่องของวัย และย่อมมี Conflict (ความขัดแย้ง) ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ความขัดแย้งนี้จริง ๆ แล้ว ไม่ได้ขับเคลื่อนองค์กร แต่กลับทำให้มันช้าลง (slow down) เพราะมันทำให้ทิศทาง (direction) ไม่ชัดเจน (พ่อเอาอย่าง ลูกเอาอย่าง) ในฐานะเด็กจบใหม่ “ความคิดของเรามักจะแพ้ความคิดของคุณพ่อ อายุ 22 ปี กับ 50 ปี เรายังไม่มีเครดิตที่จะไปล้มล้างความคิดของท่านได้”
พีรวัส เจนตระกูลโรจน์
ดังนั้น สิ่งที่ เขาทำมาตลอดคือ การพยายามไป แก้ปัญหาจุดเล็กๆ ในโรงงานก่อน โดยใช้ความรู้ที่เราจบ Food Science มา เช่น การออกแบบทางเข้าสายผลิตให้ถูกต้องตามมาตรฐาน GMP หรือการควบคุมคุณภาพสินค้าโดยใช้ตัวเลขมาวัดผล เช่น อุณหภูมิ เวลา น้ำหนัก ซึ่งเมื่อก่อน เขาจะทำด้วยความชำนาญและความเคยชิน อย่างการทำไส้สังขยา ก็จะดูความหนืดด้วยสายตา “พอเราแก้ปัญหาเล็กๆ ได้ มันก็จะค่อยๆ สร้างการยอมรับ ไม่ใช่แค่จากคุณพ่อ แต่จากพนักงานเก่าๆ ที่อยู่กับคุณพ่อมาเป็นสิบปี การสร้างการยอมรับนี้เป็นไปทีละเล็กทีละน้อย ส่วนเรื่องใหญ่เราไม่ชนะอยู่แล้ว”
เขายกตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงที่ต้องใช้เวลาคือ เรื่องของวันทำงาน เมื่อก่อนโรงงานและออฟฟิศทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ (จันทร์ถึงเสาร์) เขาใช้เวลา 3-4 ปี กว่าจะโน้มน้าวให้ลองปรับลดวันเสาร์ลง จนในที่สุดออฟฟิศก็ทำงานแค่จันทร์ถึงศุกร์ และตอนนี้พนักงานผลิตในโรงงานก็ทำแค่ 5 วันแล้ว
วิกฤตหนักสุดในชีวิต (คุณพ่อ) คือโอกาสยอดขายพันล้านในวันนี้
เขาเล่าว่า วิกฤตที่หนักที่สุดของ ศรีฟ้า เบเกอรี่ น่าจะเป็นช่วงที่ คุณพ่อ ลงทุนเครื่องจักรจำนวนมากเพื่อนำสินค้าเข้า 7-Eleven เหตุการณ์นี้เริ่มต้นปี 2548 เมื่อทีมผู้บริหาร 7-Eleven มาติดต่อคุณพ่อที่กาญจนบุรี คุณพ่ออยากขายสินค้าใน 7-Eleven มาก ท่านจึงตัดสินใจกู้แบงก์ ซื้อที่ดิน สร้างอาคาร และลงทุนเครื่องจักรจำนวนมาก เพื่อผลิตเค้กฝอยทองให้ได้ตามวอลุ่มที่ 7-Eleven ต้องการ
ขณะที่ตัวเขาเองกลับมาทำงานช่วงปลายปี 2550 การลงทุนครั้งนั้นใช้เงินไป 200 ล้านบาท เครื่องจักรและโรงงานใหม่ มีกำลังการผลิตมากกว่าที่ร้านศรีฟ้าเราเองต้องการใช้ถึง 6-7 เท่า คนในวงการถึงกับบอกว่า “ป๊าผมโดนหลอก” เขาได้เข้ามาช่วยออกแบบโรงงานให้ถูกต้องตามระบบ GMP, HACCP และประสานงานกับซัพพลายเออร์เครื่องจักร
ช่วงที่เครื่องจักรติดตั้งและลองผลิต เป็นช่วงที่เครียดมาก เพราะเราเหมือนจากปั่นจักรยานมาขับรถ F1 เราต้องปรับไลน์ผลิต (Fine Tune) ทำให้เสียวัตถุดิบไปเยอะ ทุกๆ เดือนที่ผ่านไป มีทั้งดอกเบี้ยที่เดินตั้งแต่วันแรก และค่าเสื่อมที่วิ่งอยู่ สภาพคล่องแทบไม่เหลือ
บริษัทใช้เวลาเกือบปี หลังจากติดตั้งเครื่องจักร จนกระทั่งปรับตั้งจนผลิตเค้กฝอยทองได้ตามมาตรฐาน และเริ่มขาย 7-Eleven จริงๆ ได้ในปี 2552 และเมื่อขายเข้า 7-Eleven ได้สำเร็จ ณ ตอนนั้น ผู้ผลิตเบเกอรี่ที่มีมาตรฐานและกำลังการผลิตสูงๆ ในไทยมีน้อยมาก ทันทีที่ ศรีฟ้า ได้มาตรฐานนั้น ห้างอื่นๆ เช่น โลตัส แม็คโคร ท็อปส์ ก็วิ่งมาหา ช่วงนั้นจึงเป็นช่วงที่บริษัท "รวยเร็ว" ยอดขายกระโดดขึ้นจากหลักร้อยล้าน เป็น 200-300 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็นหลายร้อยล้านในไม่กี่ปี
เรื่องนี้มันฝังอยู่ในความคิดและ DNA ของเขามาเสมอ เพราะเขาต้องรับผิดชอบชีวิตคนหลายคน (Stakeholder) ดังนั้นจะยอมแพ้ให้คู่แข่ง ตลาด หรือสถานการณ์ของโลกไม่ได้
ทุกวันนี้ สิ่งที่ท้าทายคือ การเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคที่รวดเร็ว การตักตวงกระแสต้องทำให้ได้ไว ทำให้การออกสินค้าใหม่ๆต้องรวดเร็วขึ้น เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนที่ทำช้า และอีกสิ่งที่ท้าทายคือการสู้กับทุนจีนที่เข้ามารันทุกวงการรวมทั้งวงการอาหารด้วย ดังนั้นการบริหารงานจึงต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์โลกตลอดเวลา
นี่คือวัตถุดิบที่เป็น “ไฟ ” ให้เขาคิดกลยุทธ์และวิธีการเอาตัวรอดทางธุรกิจมาจนถึง
3 ปี ศรีฟ้า เบเกอรี่ พร้อมเข้าตลาด - ปักหมุด 500 สาขาทั่วประเทศใน 5 ปี
สำหรับอนาคต ศรีฟ้า เบเกอรี่ “พีรวัส” ตั้งเป้าที่จะเป็นร้านเบเกอรี่อบสดอันดับ 1 ของประเทศไทย ด้วยแผนการขยายสาขาอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมี 63 สาขา จากเดิม 14 สาขาในปี 2563 และเป้าหมายที่ตั้งไว้คือ 500 สาขา ภายในปี 2573
ในส่วนของ Art of Baking บริษัทร่วมทุนที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2560 ระหว่าง บริษัท ศรีฟ้าโฟรเซนฟู้ด จำกัด และ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) เพื่อผลิตแผ่นแป้งแช่แข็ง (frozen dough) สำหรับจำหน่ายให้กับโรงงานและร้านเบเกอรี่ ปัจจุบันบริษัทได้ร่วมทุนกับ Europastry ซึ่งเป็นบริษัทเบเกอรี่ยักษ์ใหญ่จากสเปน เพื่อสร้างโรงงานผลิตโดนัทแช่แข็งที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็จะยังคงเดินหน้าและขยายกำลังการผลิตต่อเนื่องโดยปีนี้จะมีโรงงานเพิ่มขึ้นอีก 1 แห่ง
ถามว่าเป้าหมายสูงสุดของ ศรีฟ้า เบเกอรี่ ภายใต้การทำงานของทายาทรุ่น 2 คืออะไรนั้น เขากล่าวว่า “ผมไม่มีเป้าหมายสูงสุดเลยครับ มีแต่ทำไปเรื่อยๆ ทำไปให้ได้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนนี้ยังมองไม่เห็นเส้นชัยครับ ” แต่สิ่งที่จะเห็นอันใกล้นี้คือเป้าหมายในการพาบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายใน 3 ปี


