สองเจนทรงอิทธิพล “Gen Z–Gen Horizon” กุมชะตาธุรกิจไทย ขับเศรษฐกิจคู่ขนาน
สองเจเนอเรชันเปลี่ยนเกมตลาดไทย! MI GROUP เผยอินไซต์ “Gen Z–Gen Horizon” กุมชะตาแบรนด์ไทย แนะธุรกิจต้องวางเกมให้ถูก เพื่อปลดล็อกพลังการจับจ่ายมหาศาลจากทั้งสองเจน
พฤติกรรมผู้บริโภค มีผลต่อเศรษฐกิจอย่างมาก คนแต่ละช่วงวัย มักมีความชอบ ความต้องการที่แตกต่างกัน
นางสาววรินทร์ ทินประภา Chief Growth Officer บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด หรือ MI Group เปิดเผยว่า ปัจจุบันภูมิทัศน์ของผู้บริโภคไทยกำลังถูกขับเคลื่อนโดยสองเจเนอเรชันที่มีทั้งจำนวนประชากรขนาดใหญ่และอิทธิพลทางเศรษฐกิจสูง นั่นคือ Gen Z อายุ 13-28 ปี และกลุ่มที่ MI LEARN LAB นิยามขึ้นใหม่ในชื่อ Gen Horizon อายุ 45-59 ปี ซึ่งทั้งสองกลุ่มมีพลังการจับจ่าย ที่สะท้อนศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
ที่ผ่านมาแม้จะมีงานวิจัยเกี่ยวกับ Gen Z อยู่มากในตลาด แต่ MI LEARN LAB ต้องการนำเสนอเลนส์ใหม่ในการทำความเข้าใจคนรุ่นนี้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ก็ได้วางกรอบของ Gen Horizon เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าพวกเขากำลังนิยามวัยเกษียณใหม่ที่ไม่ได้หยุดนิ่ง แต่กำลังนำไปสู่ New Retirement Economyซึ่งมีกำลังซื้อสูงและคุณภาพชีวิตดีกว่าคนรุ่นก่อนอย่างชัดเจน
โดยสิ่งที่สรุปได้ ไม่ใช่เพียงข้อมูลเชิงพฤติกรรม แต่คือโอกาสทางการตลาดจากพลังการจับจ่าย และ Framework เชิงกลยุทธ์ ที่จะช่วยให้นักการตลาดออกแบบแคมเปญที่ตอบโจทย์ทั้งวันนี้ พร้อมสร้างรากฐานความยั่งยืนในอนาคต
ทำความรู้จัก Gen Horizon
นายพศธร สุขอัมพร New Business Development Director บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด หรือ MI Group กล่าวว่า Gen Horizon คือเจเนอเรชันที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความรับผิดชอบและการเริ่มต้นครั้งใหม่ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นกำลังซื้อหลักในปัจจุบัน แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญที่แบรนด์ต้องทำความเข้าใจ เพื่อช่วยให้คนไทยก้าวสู่วัยสูงอายุอย่างมีคุณภาพ มั่นคง และยังคงเป็นกำลังซื้อที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจ
โดยจากการศึกษาของ MI LEARN LAB ซึ่งผสานข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างวัย 45-59 ปี ในเขตกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ทั่วประเทศ พบว่า ความมั่นใจคือทุนชีวิตใหม่ของ Gen Horizon เพราะความมั่งคั่งแต่ไม่มั่นใจทางการเงิน แม้จะเป็นช่วงอายุที่มีรายได้สูงสุดในชีวิต แต่กว่า 62% กลับรู้สึกว่ายังไม่พร้อมสำหรับวัยเกษียณ และที่น่าสนใจคือ 68% ยังคงพึ่งพาเงินสดเป็นหลัก
ซึ่งสะท้อนถึงความไม่มั่นใจในระบบเศรษฐกิจและความเสี่ยงต่อผลิตภัณฑ์ทางการเงินและการลงทุนที่ซับซ้อน ด้านสุขภาพ แม้จะใส่ใจมากขึ้น แต่กลับขาดพฤติกรรมเชิงป้องกัน โดยมีเพียง 35% ที่ตรวจสุขภาพประจำปี ส่วนใหญ่ยังคงกังวลเรื่องโรคเรื้อรังและค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่สูงขึ้น
ขณะที่ในมิติของที่อยู่อาศัย บ้านได้กลายเป็นศูนย์กลางของอนาคต แต่ 42% ยอมรับว่าบ้านปัจจุบันยังไม่พร้อมสำหรับการเป็นบ้านของผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นการเปิดประตูสู่โอกาสมหาศาลให้กับธุรกิจโซลูชันสมาร์ทโฮม การปรับปรุงที่อยู่อาศัย และบริการดูแลผู้สูงอายุในระดับชุมชน
นอกจากนี้ Gen Horizon ยังเปิดรับแนวคิด ชีวิตหลายช่วง (Multi-Stage Life) ที่เปลี่ยนจากกรอบเดิมๆ คือ เรียน-ทำงาน-เกษียณ ไปสู่การเรียนรู้และเริ่มต้นสิ่งใหม่ได้ตลอดเวลา พร้อมทั้งนิยามความสำเร็จและคุณค่าของชีวิตใหม่ จากเดิมที่เคยวัดกันที่สถานะทางสังคมและทรัพย์สิน มาสู่การให้ความสำคัญกับความหมายของชีวิต ความสัมพันธ์ และการสร้างคุณค่าต่อสังคม
สำหรับแนวทางที่แบรนด์จะสามารถเชื่อมต่อกับ Gen Horizon ได้นั้น MI Group แนะว่าต้อง Empower Reinvention หรือสร้างพลังให้กับการเริ่มต้นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพที่สองหรือทักษะใหม่ๆ, Build Ecosystems โดยการผสานบริการด้านการเงิน สุขภาพ และไลฟ์สไตล์เข้าด้วยกันเพื่อให้แบรนด์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ช่วยสร้างความมั่นคงและสบายใจ และสุดท้ายคือ Lead with Meaning ด้วยการสร้างคอมมูนิตี้ที่ทำให้พวกเขารู้สึกมีคุณค่าและยังคงมีบทบาทสำคัญในสังคม
Gen Z กำหนดทิศทางตลาดอนาคต
ด้านนายณัฐพันธุ์ ไพรัชวรรณ Strategic Planning Manager บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด หรือ MI Group กล่าวถึงอีกหนึ่งขุมพลังสำคัญว่า Gen Z คือตัวแทนของ Early Force หรือพลังวัยต้นที่กำลังกำหนดอนาคตการบริโภคและวัฒนธรรมใหม่ของประเทศ แม้ปัจจุบันกำลังซื้อหลักจะยังไม่ใช่ของกลุ่มคนเหล่านี้ แต่ในอีก 7 ปีข้างหน้า กลุ่มคนเหล่านี้จะกลายเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ทรงอิทธิพลที่สุด ขณะที่ปัจจุบันก็ถือว่าเป็นกลุ่มที่ขับเคลื่อนเทรนด์ในหลายอุตสาหกรรมแล้ว.
โดย MI LEARN LAB ได้ถอดรหัสพฤติกรรมของ Gen Z ผ่านกรอบแนวคิด ‘ชั้นนอก (Outer) – ชั้นใน (Inner) – แก่นแท้ (Individual Core)’ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าพฤติกรรมการใช้จ่ายของพวกเขาไม่ได้มีเพียงมิติเดียว แต่ได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อม อัตลักษณ์ และคุณค่าภายในอย่างซับซ้อน
ซึ่งในส่วนของ Outer Shell หรือชั้นนอกสุด พบว่า สภาพแวดล้อมและช่วงชีวิตที่แตกต่างกัน (วัยเรียน – มหาวิทยาลัย – วัยทำงาน) ส่งผลต่อแรงจูงใจและพฤติกรรมการซื้อที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง Gen Z วัยเรียนจะได้รับอิทธิพลจากกลุ่มเพื่อน 54% และกระแสสังคม 23%
ขณะที่วัยทำงานตอนต้นจะให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้าเป็นหลัก 52% และพร้อมจะภักดีต่อแบรนด์หากคุณภาพไม่เปลี่ยนแปลง 82% สิ่งนี้ชี้ว่านักการตลาดต้องเข้าใจ Moment of Life ของพวกเขามากกว่าแค่ช่วงอายุ
ส่วน Inner Shell สะท้อนแนวคิดการบริโภคเพื่อแสดงตัวตน (Spending as Identity) ซึ่งไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยราคา แต่เป็นคุณค่าทางอารมณ์ ทำให้ Gen Z มีการใช้จ่ายสูงกว่าเจนเนอเรชันอื่นในหมวดบริการด้านความงาม, ของแต่งบ้าน, ความบันเทิง และเสื้อผ้าเครื่องประดับ โดย 45% ของสายความงามสนใจทำหัตถการหรือศัลยกรรม และ 53% ของสายแฟชั่นระบุว่าแต่งตัวเพื่อให้โดดเด่น
และสุดท้ายคือ Individual Core หรือแก่นแท้ ซึ่งเป็นเรื่องของคุณค่าและอารมณ์ภายใน Gen Z ให้ความสำคัญกับคุณค่าภายในในแบบของตัวเอง ผ่าน The 4 Cares ได้แก่ การแคร์ความสุขปัจจุบัน 33%, การแคร์ภาพลักษณ์ภายนอก 21%, การแคร์พื้นที่ส่วนตัว 26% และการแคร์ที่จะได้ค้นหาและลงมือทำด้วยตัวเอง 28% ซึ่งสิ่งนี้สะท้อนว่า Gen Z ต้องการแบรนด์ที่เข้าใจพวกเขาอย่างแท้จริง มากกว่าแค่การเสนอขายสินค้า
นางสาววรินทร์ กล่าวสรุปว่า อย่างไรก็ตาม สองเจนนี้ไม่ได้มาเพื่อแทนที่กัน แต่กำลังขับเคลื่อนพลังการจับจ่ายและเศรษฐกิจไทยในทิศทางคู่ขนาน ดังนั้นการเข้าใจ Gen Z ที่เป็น Early Force และ Gen Horizon ที่เป็น Future Force ไม่ได้หมายความว่านักการตลาดต้องทำการตลาดกับทั้งสองกลุ่มพร้อมกัน แต่คือการเปิดเลนส์ใหม่ให้เห็นสองขุมพลังที่ร่วมกันกำหนดทิศทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมการบริโภคของไทย โดยแบรนด์สามารถเลือกที่จะ Focus ในเจนที่สอดคล้องกับเป้าหมายธุรกิจ หรือ Balance เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว


