รัฐบาลไฟเขียวกองทัพ ไทยยกระดับรับมือปะทะชายแดนกัมพูชารอบใหม่
ชายแดนไทยกัมพูชาหลังปะทะหลายจุด นายกฯมอบอำนาจกองทัพดำเนินการทุกกรณีตามจำเป็น ขเน้นป้องกันตนเอง สกัดความเสียหายต่อพลเรือน เดินเกมการทูตคุมสถานการณ์ไม่ให้บานปลาย
KEY
POINTS
- แนวรบตลอดชายแดนอีสานใต้–ตะวันออกขยายวง รัฐไทยเลือกตอบโต้แบบ “จำกัดเป้า” เพื่อคุมความรุนแรงไม่ให้บานปลาย
- กลยุทธ์ไทยผสมผสานปฏิบัติการทหาร การข่าว และการทูต หลังใช้เวทีอนุสัญญาออตตาวาเปิดข้อมูลทุ่นระเบิด ทำให้กัมพูชาถูกกดดันในสายตานานาชาติ
- กัมพูชาขยับเกมยืดเยื้อ ตั้งหมู่บ้านทหาร–สะสมจรวด BM-21 ขณะไทยเร่งสร้างศักยภาพป้องปรามระยะไกล หวัง “ตัดไฟแต่ต้นลม” ลดโอกาสปะทุซ้ำในอนาคต
แนวรบลุกลามตลอดแนวชายแดน
การปะทะรอบใหม่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาในช่วงล่าสุด กำลังก้าวข้ามจาก “เหตุปะทะเฉพาะจุด” สู่ “สมรภูมิย่อยหลายแนว” ไล่ตั้งแต่พื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 2 ในสุรินทร์ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี ไปจนถึงสระแก้วในความรับผิดชอบของกองกำลังบูรพา สะท้อนว่าความขัดแย้งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงหน้าผาเหนือเขาพระวิหาร แต่ขยายตัวตลอดสันเขาพนมดงรัก ทั้งสองฝ่ายจึงต้องตอบคำถามให้ประชาคมโลกเห็นว่า ใครกันแน่ที่ริเริ่ม และใครที่ใช้สิทธิป้องกันตนเองตามกติกาสากล
ในฝั่งไทย เหตุปะทะปรากฏทั้งในมิติภาคพื้นดินและทางอากาศ ตั้งแต่การทำลาย “กระเช้าขึ้นเนิน 350” ฝั่งกัมพูชาบริเวณปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ ซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ควบคุมเส้นทางบนสันเขา ไปถึงการใช้อากาศยานโจมตีอาคารฝั่งตรงข้ามช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี ที่เชื่อว่าเป็นทั้งคาสิโนและจุดควบคุมโดรนสอดแนม ขณะเดียวกัน กัมพูชาตอบโต้ด้วยการยิงจรวด BM-21 เข้าใส่พื้นที่บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ รวมถึงความพยายามขัดขวางการยึดคืนพื้นที่หนองหญ้าแก้ว–หนองจาน ใน จ.สระแก้ว ของกองกำลังบูรพา
แม้ตราดและจันทบุรียังไม่มีรายงานการปะทะโดยตรง แต่กองทัพเรือไทยก็ยกระดับความพร้อมตลอดแนวชายแดนทางทะเล ขณะที่มาตรการอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยงถูกเร่งดำเนินการภายในกรอบเวลาราว 36 ชั่วโมง สะท้อนบทเรียนจากวิกฤตรอบก่อนว่ารัฐไม่อาจยอมให้พลเรือนติดค้างในแนวรบซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทั้งหมดนี้คือบริบทที่ "ผศ.ดร.วันวิชิต บุญโปร่ง และ รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช "มองว่า การปะทะครั้งนี้มีมิติ “การป้องปราม” และ “การแข่งขันสร้างเรื่องเล่า” ทับซ้อนกันตลอดแนวชายแดน
กลยุทธ์ไทย: ป้องกันตนเองอย่างจำกัดเป้า
ในเชิงหลักการ รัฐไทยยังคงยืนจุดเดิมว่า “ไม่เริ่มก่อน แต่ไม่ยอมให้ล่วงละเมิดอธิปไตย” นั่นหมายถึง การไม่เลือกใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือแรกเริ่ม แต่พร้อมใช้อำนาจกำลังอย่างมีเหตุมีผลเมื่อถูกละเมิด ผนวกกับเงื่อนไขสำคัญสามประการ คือ รักษาสันติภาพ รักษาความมั่นคง และคำนึงถึงมิติสิทธิมนุษยชน การโจมตีทางอากาศของไทยจึงถูกกำหนดเป้าหมายเฉพาะสิ่งปลูกสร้างที่มีมูลเหตุทางทหาร เช่น อาคารควบคุมโดรนหรือฐานสะสมกำลัง ลดโอกาสความเสียหายต่อพลเรือนและสิ่งปลูกสร้างที่ไม่เกี่ยวข้อง
ระดับยุทธศาสตร์ นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้เรียกหน่วยงานความมั่นคงประชุมด่วน ก่อนมีมติให้ “ไฟเขียว” กองทัพสามารถปฏิบัติการทางทหารในทุกกรณีตามความจำเป็น ภายใต้กรอบกฎหมายและกฎการปะทะ (Rules of Engagement) ที่ชัดเจน
จุดนี้สะท้อนการพยายามสร้าง “ความชอบธรรมล่วงหน้า” ทั้งในสายตาประชาชนไทยและประชาคมโลกว่า ทุกกระสุนนัดและทุกเที่ยวบินของกองทัพ ไม่ใช่ปฏิบัติการไร้การควบคุม แต่ถูกกลั่นกรองและรับผิดชอบทางการเมืองแล้ว
อีกด้านหนึ่ง กองทัพไทยพยายามแก้จุดอ่อนจากวิกฤตรอบก่อน ด้วยการบริหาร “ข้อมูลสงคราม” อย่างรัดกุมกว่าเดิม ปฏิบัติการสำคัญจะไม่เปิดเผยแบบเรียลไทม์ แต่รายงานเมื่อแล้วเสร็จและยืนยันผลได้ เพื่อลดความเสี่ยงที่ฝ่ายตรงข้ามจะใช้ข้อมูลเปิดของไทยไปประกอบการวิเคราะห์ ย้อนกลับมาโจมตีจุดอ่อนของเราเอง
ขณะเดียวกัน การเสริมกำลังพลจากหลายภาคส่วน การปรับปรุงเส้นทางส่งกำลังบำรุง และการอพยพประชาชนในเวลาอันสั้น ล้วนสะท้อนว่าภาครัฐรับรู้ดีว่า ประชาชนในชายแดนไม่ต้องการเป็น “ตัวประกันของภูมิรัฐศาสตร์” ที่ต้องอพยพซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่มีจุดสิ้นสุด
เกมยืดเยื้อและสมการป้องปรามในอนาคต
ในมุมมองของสองนักวิชาการ กัมพูชายังคงใช้ยุทธศาสตร์ “เหยื่อผู้ถูกรุกราน” กล่าวโทษว่าไทยเป็นฝ่ายเปิดฉากก่อน หวังสร้างคะแนนสงสารจากประชาคมโลก
ขณะเดียวกันก็สะสมกำลังพลและโครงสร้างพื้นฐานทางทหารตามแนวพรมแดนอย่างต่อเนื่อง ผ่านการให้ที่ดินและส่งครอบครัวทหารไปตั้งรกรากกลายเป็นหมู่บ้านแนวหน้า ทำให้แนวชายแดนไม่ใช่เพียง “เส้นเขตแดนบนแผนที่” แต่เป็นเครือข่ายชุมชนทหารที่พร้อมรองรับปฏิบัติการกองโจรและการหลบซ่อนตามชะง่อนผา
กัมพูชายังอาศัยโดรนสอดแนมและแหล่งข่าวภาคพื้นดินเก็บข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์ต่อเนื่อง ทำให้การโจมตีฐานทหารไทยบางจุดมีความแม่นยำสูงขึ้น ขณะเดียวกัน การยิงจรวด BM-21 จากแนวชายแดนเข้าใส่พื้นที่ชั้นในของไทย ชี้ว่ากัมพูชาพยายามสร้าง “ต้นทุนความเสี่ยง” ให้ฝ่ายไทยต้องชั่งน้ำหนักทุกครั้งก่อนจะขยายปฏิบัติการทางอากาศหรือทางภาคพื้นดินลึกเข้าไปในแดนกัมพูชา
ในบริบทเช่นนี้ แนวคิด “ป้องปราม” กลายเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ไทย แม้ไทยมีศักยภาพทางอากาศเหนือกว่า ทั้งฝูง F-16 และ Gripen แต่ภัยคุกคามเชิงมวลอย่างจรวดหลายลำกล้อง BM-21 จำเป็นต้องมีคำตอบทั้งในมิติระบบป้องกันภัยทางอากาศและระบบยิงจรวดตอบโต้ที่ทัดเทียม สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศเดินหน้าพัฒนาเครื่องยิงจรวด BTI ระยะ 80–300 กิโลเมตร เพื่อให้ไทยมี “มือยาว” พอจะสกัดภัยตั้งแต่ต้นทาง ไม่ปล่อยให้จรวดฝ่ายตรงข้ามบินเข้ามาใกล้พื้นที่ชั้นในของประเทศซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในเวลาเดียวกัน ไทยยังต้องเผชิญข้อจำกัดจากภูมิประเทศและกฎหมายภายใน เทือกเขาพนมดงรักด้านไทยแม้อยู่บนที่สูง แต่การสร้างถนนยุทธศาสตร์หรือหมู่บ้านทหารถาวรกลับติดข้อจำกัดกฎหมายอุทยานฯ ขณะที่ฝั่งกัมพูชาสามารถทยอยสร้างถนนเชื่อมแนวหน้า–แนวหลังอย่างต่อเนื่อง ช่องว่างนี้ทำให้การส่งกำลังบำรุงฝั่งไทยมีต้นทุนสูงกว่า และอาจกลายเป็นข้อจำกัดหากสถานการณ์ยืดเยื้อ
ในระดับแนวคิดทางยุทธศาสตร์ เสนาธิการทหารบก พล.อ.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ ระบุเป้าหมายชัดเจนว่า ต้องทำให้กองทัพกัมพูชา “สิ้นสภาพภัยคุกคามไปอีกนาน” เพื่อความปลอดภัยของประชาชนไทยในระยะยาว ซึ่งตีความได้ว่า ไทยอาจต้องพิจารณาปฏิบัติการบางรูปแบบที่ไม่ใช่แค่ “ดันแนวรบกลับไปจุดเดิม” แต่รวมถึงการกดดันแนวลึก เช่น ฐานกำลังพลหรือคลังอาวุธสำคัญ
อย่างไรก็ตาม การขยับแนวคิดเช่นนี้ย่อมต้องแลกกับการบริหารความเสี่ยง ไม่ให้สถานการณ์บานปลายจนกระทบเสถียรภาพภูมิภาคและเศรษฐกิจไทยโดยรวม
การปะทะรอบใหม่ไทย-กัมพูชาไม่ใช่แค่เหตุยิงชายแดน แต่สะท้อนสมการอำนาจ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และศักยภาพป้องปราม ไทยต้องเดินสองขาทั้งเพิ่มศักยภาพทางทหารและสื่อสารเชิงรุกในเวทีโลกควบคู่กัน เพื่อยุติภัยคุกคาม
เรียบเรียง : อมรเดช ชูสวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง
ที่มา : รายการคมชัดลึก (คลิ๊กชมเนื้อหา)


