posttoday

ไทยส่งออกเครื่องปรับอากาศไปสหรัฐ แซง จีน คาดขยายตัว 36%

16 ตุลาคม 2568

ภาษีทรัมป์เพิ่มโอกาสส่งออกเครื่องปรับอากาศไทยไปสหรัฐฯ ขยายตัว 36% ในปี 2568 แซงจีน เครื่องปรับอากาศ ประเภทแอร์หน้าต่าง ความต้องการสูงเกือบ 100 %

การจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบแทน (Reciprocal Tariff) 19% ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากไทย คาดว่าจะเปิดโอกาสให้การส่งออกเครื่องปรับอากาศระบบ Self-contained จากไทย แข่งขันกับจีนได้มากขึ้น การเร่งส่งออกก่อนมาตรการภาษีมีผลบังคับใช้ ส่งผลให้มูลค่าส่งออกเครื่องปรับอากาศไทยไปสหรัฐฯ ปี 2568 มีแนวโน้มจะขยายตัว 36% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน

ในปี 2568 ไทยขึ้นเป็นอันดับ 1 ในการส่งออกเครื่องปรับอากาศไปสหรัฐฯสามารถแซงหน้าจีนขึ้นมาเป็นประเทศผู้ส่งออกเครื่องปรับอากาศไปสหรัฐฯ มากที่สุด แทนที่ตำแหน่งเดิมที่จีนเคยครองในปีก่อนหน้า โดยตลาดสหรัฐฯ มีความต้องการเครื่องปรับอากาศ ประเภทแอร์หน้าต่าง (Self-contained ) สูงถึงกว่า 95% ของปริมาณนำเข้าทั้งหมด แตกต่างจากตลาดในประเทศไทยที่นิยมใช้ แอร์ผนัง (Split system )  โดยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ไทยมีสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ ถึง 59% ของมูลค่านำเข้าเครื่องปรับอากาศทั้งหมด และเกือบทั้งหมดเป็น แอร์หน้าต่าง 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า การที่สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบแทน (Reciprocal Tariff) จากไทยในอัตรา 19% รวมถึงภาษีส่วนประกอบเหล็กในอัตรา 50% ภายใต้ Section 232  ส่งผลให้ต้นทุนการส่งออกแอร์หน้าต่าง จากไทยไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 

ปัจจุบัน แอร์หน้าต่างที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ กว่า 97% อยู่ใน 2 ประเภทหลัก ที่ไทยครองสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ สูงที่สุด โดยมี คู่แข่งหลักของไทย ได้แก่ จีน เม็กซิโก และ อินโดนีเซีย ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบภาษีนำเข้ารวม พบว่า ไทยมีแนวโน้มเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจาก เม็กซิโก และ อินโดนีเซีย แต่ได้เปรียบจีน

โดยภาพรวมหลังจากราคานำเข้าเครื่องปรับอากาศจากไทยไปสหรัฐฯ ถูกปรับเพิ่มขึ้นตามอัตราภาษีนำเข้าใหม่ พบว่ายังคงแข่งขันได้ดี และมีโอกาสแข่งขันกับทางจีนได้มากขึ้น เนื่องจากราคานำเข้าใหม่หลังรวมภาษีนำเข้า พบว่าต่ำกว่าจีนซึ่งเป็นคู่แข่งหลักประมาณ 13% - 23% ในขณะที่ก่อนขึ้นภาษี ราคานำเข้าของไทยกลับสูงกว่าจีนราว 3% - 18%

อย่างไรก็ตาม ไทยอาจเผชิญการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นจากอินโดนีเซีย เนื่องจาก ราคานำเข้าของอินโดนีเซียใกล้เคียงหรือบางกรณีถูกกว่าของไทย อย่างไรก็ดี สัดส่วนการส่งออกแอร์หน้าต่างไปยังตลาดสหรัฐฯ ของอินโดนีเซียยังน้อยกว่ามาก เมื่อเทียบกับไทยและจีนซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดหลักกว่า 86%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มูลค่าส่งออกเครื่องปรับอากาศไทยไปสหรัฐฯ ในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัว 36% หรือราว 651 ล้านดอลลาร์ฯ เนื่องจากผู้ประกอบการเร่งส่งออกก่อนถึงกำหนดเริ่มเก็บภาษีตั้งแต่ 1 ส.ค. 2568 ทว่าหลังภาษี Reciprocal 19% มีผลบังคับใช้ ประกอบกับปัจจัยฤดูกาล คาดว่าการส่งออกจะหดตัว 70% ในช่วงที่เหลือของปี

ขณะเดียวกัน แนวโน้มการย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการจีนรายใหญ่เข้ามาลงทุนตั้งโรงงานในไทย ผนวกกับความได้เปรียบด้านโครงสร้างภาษี จะช่วยเสริมศักยภาพให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นฐานการผลิตเครื่องปรับอากาศที่สำคัญสำหรับการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในอนาคต 

ข่าวล่าสุด

"อรรถพล" สั่งประสานเดินเครื่องโรงไฟฟ้าขยะแก้ปัญหาขยะล้นเมือง