“พารารักษา” ลงทุน 5 พัน ขายเบาะนั่งสมาธิได้เงิน 6 แสนต่อเดือน
เรื่องราวของแบรนด์ “พารารักษา (PARARAKSA) ที่ลงทุน 5 พันบาท ผลิตสินค้านวัตกรรมยางพารา จากตุ๊กตานวดมือ สู่เบาะนั่งสมาธิ ที่นอน หมอน สร้างรายได้ได้ 6 แสนบาทต่อเดือน
ใครจะไปคิดว่า “ของเล่น” ที่เกิดจากการลองผิดลองถูก
จะกลายเป็นธุรกิจหลักที่สร้างรายได้เดือนละหลายแสนบาท
คือเรื่องราวของ แบรนด์ PARARAKSA (พารารักษา) โดย ฐนน เจริญรมย์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ บริษัท สไมล์ รับเบอร์ จำกัด และคนในชุมชนบ้านเนินสว่าง จังหวัดระยอง ผู้พลิกยางพาราให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพระดับนวัตกรรม ที่เริ่มต้นจากเงินเพียง 5,000 บาท และพลังของคนในหมู่บ้าน
เริ่มต้นจาก “ตุ๊กตายางนวดมือ” สู่เบาะนั่งสมาธิ
ย้อนกลับไปเมื่อ 8 ปีก่อน ที่ชุมชนบ้านเนินสว่าง จังหวัดระยอง มีพื้นที่สวนยางกว่า 15,000 ไร่ ทำให้มี “น้ำยางพารา” มากมายแต่กลับไม่มีมูลค่าเพิ่มฐนนในตอนนั้นเพียงอยากช่วยเหลือคนในหมู่บ้าน เขาจึงเริ่มจากการทำ ตุ๊กตานวดมือ จากยางพารา ซึ่งใช้วัตถุดิบน้อยและทำขายเล่น ๆ เท่านั้น แต่เมื่อมองเห็นน้ำยางที่เหลือล้น และสังเกตว่าคนในบ้านชอบนั่งสมาธิ เขาจึงเกิดไอเดียขึ้นว่า “ลองทำเบาะนั่งสมาธิจากยางพาราดูไหม”
จุดเริ่มต้นของการทดลองครั้งนั้น ผลลัพธ์ไม่เพียงขายได้ แต่ยังกลายเป็นสินค้าที่เปลี่ยนชีวิตของหลายคน
“ตอนขายช่วงแรกๆ ตั้งเป้าไว้แค่ 7 แสนต่อปี แต่ยอดขายกลับแตะล้านบาทตั้งแต่ปีแรก” ฐนน เล่า
จาก “ไก่กา” สู่ “พารารักษา”
เดิมทีแบรนด์นี้มีชื่อว่า “ไก่กา (KAIKA)” ชื่อที่สื่อถึงความไม่จริงจัง เหมือนของบ้าน ๆ ที่ทำเล่น ๆ แต่เมื่อได้เข้าร่วมโครงการ New Gen Hug บ้านเกิด ของ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จึงได้มีการรีแบรนด์ เปลี่ยนชื่อ เพื่อสะท้อนตัวตนที่แท้จริงของผลิตภัณฑ์ “พารารักษา” จึงถือกำเนิด เป็นแบรนด์ยางพาราเพื่อสุขภาพพร้อมแนวคิดที่ว่า
“ของดีไม่จำเป็นต้องมาจากเมืองใหญ่ แต่อาจเกิดจากหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ลงมือทำด้วยหัวใจ”
ฐนนเล่าว่า สิ่งที่ทำให้พารารักษาไม่เหมือนใครคือ นวัตกรรมการแปรรูปยางพารา
เราพัฒนา “เครื่องตี” ที่เป็นสูตรเฉพาะของแบรนด์ และนำไปจดสิทธิบัตร เครื่องนี้ทำให้ยางพาราของพารารักษามีค่าความยืดหยุ่นสูงถึง 140–190 ในขณะที่ยางทั่วไปทำได้เพียง 70–100 ผลลัพธ์คือเบาะที่ “นุ่มแน่นกำลังดี” รองรับสรีระได้ยาวนาน และไม่ยุบตัวง่าย ยางแต่ละชิ้นยังผ่านกระบวนการนึ่งที่ 100 องศาเซลเซียส และซักด้วยเครื่องซักผ้าก่อนจำหน่าย ทุกขั้นตอนถูกควบคุมอย่างเข้มงวดจนได้รับมาตรฐาน ISO
พลังของชุมชนบ้านเนินสว่าง
ฐนน เล่าต่อว่า สิ่งที่พารารักษาภูมิใจที่สุด ไม่ใช่แค่ยอดขาย แต่คือการสร้างอาชีพให้ทั้งหมู่บ้านพนักงานทุกคนคือ “คนในชุมชน” น้ำยางทั้งหมดซื้อมาจากเกษตรกรในพื้นที่ โดยตั้งราคาสูงกว่าตลาด 5–8 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อให้ทุกคนอยู่ได้
“ที่นี่ไม่มีลูกน้อง มีแต่ผู้จัดการ เพราะทุกคนต้องรับผิดชอบงานของตัวเองสิ่งนี้ทำให้คนในชุมชนเกิดความภาคภูมิใจและมีส่วนร่วมจริง ๆ ปัจจุบัน บริษัทกำลังวางแผนปรับโครงสร้างเป็น วิสาหกิจชุมชนบ้านสว่าง เพื่อให้ผลประโยชน์กลับคืนสู่ชาวบ้านอย่างแท้จริง”
สำหรับสินค้าภายใต้แบรนด์ พารารักษา จากเดิมมีเกือบ 20 SKUs เหลือเพียง 5 รายการหลัก ได้แก่ ที่นอน (3-4 รุ่น), เบาะรองนั่งสมาธิ, เบาะรองหลัง, หมอน, และตุ๊กตานวดมือ การปรับลดสินค้าลงมาเนื่องจากสินค้าที่เยอะทำให้ สต๊อกเยอะและเกิดปัญหาด้าน เงินสดหมุนเวียน
เบาะนั่งสมาธิ เป็นผลิตภัณฑ์หลักที่ทำยอดขายได้ดี โดยมีการผลิตแยกสำหรับ ผู้ชาย ผู้หญิง คนอ้วน และคนผอม รวมทั้งหมด 5 รูปแบบ ลูกค้าหลักคือกลุ่มที่ สอนสมาธิ หรือขายตามวัด
แม้จะเติบโตจากตลาดในประเทศ แต่พารารักษามีเป้าหมายไกลกว่านั้น
ฐนนตั้งใจจะพัฒนา “RER Health Innovation Center” ให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพจากยางพารา ที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกต้องมาเยือนเมื่อมาถึงประเทศไทย
“เราอยากให้คนทั่วโลกรู้ว่ายางพาราไทยไม่ได้มีดีแค่หมอน แต่มันรักษาได้ทั้งร่างกายและจิตใจ”
จากรายได้ 6 แสนต่อเดือน สู่เป้าหมาย 12 ล้านต่อปี
ฐนน บอกอีกว่า ทุกวันนี้พารารักษามียอดขายเฉลี่ย 600,000 บาทต่อเดือน
โดย 90% มาจากการ “บอกต่อ” ของลูกค้าที่ใช้จริง โดยมองว่าทิศทางยังคงมุ่งเน้นตลาดใน ประเทศไทยเป็นหลัก เนื่องจากมองว่ายังมี ช่องว่างในตลาดสุขภาพ (Wellness) อยู่มาก แม้ว่าเคยมีการส่งออกในช่วงแรก แต่พบว่า ค่าขนส่งมีราคาสูงมาก
บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ เดือนละ 1 ล้านบาท แต่ขณะนี้ทำได้เพียง 600,000 บาท ต่อเดือน อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าจะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย โดยมองว่า หากกลุ่มลูกค้า นั่งสมาธิกลับมา และการเปิดตลาด OEM เพื่อขยับยอดขายสู่ 12 ล้านบาทต่อปี เนื่องจากตลาดสุขภาพกำลังเติบโต เพราะผู้คนมีภาวะเครียดสูงและมองหาตัวช่วย ซึ่งจะใช้กลยุทธ์การตลาดในปัจจุบันและอนาคตคือการ ยิงแอด และการใช้ อินฟลูเอนเซอร์ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและการนั่ง โดยจะเน้นอินฟลูเอนเซอร์ระดับ นาโนและไมโคร (ผู้ติดตามไม่เกิน 20,000 คน)
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจาก พลังของคนในชุมชนระยองเล็ก ๆ ที่เชื่อว่า
“ถ้าเราทำของดีจริง โลกจะเห็นเอง ไม่ว่าเราจะอยู่มุมไหนของประเทศก็ตาม”


