TDRI ชี้ภาคเกษตรอ่อนแอ "ข้าวไทยแพ้เวียดนาม“ เสี่ยงหลุดครัวโลก
ดร.นิพนธ์ ชี้วิกฤตเศรษฐกิจไทยหยุดชะงักตั้งแต่ปี 2000 จี้รัฐเร่งปรับโครงสร้างกระจายอำนาจทางเศรษฐกิจสู่ชนบท ภาคเกษตรอ่อนแอ "ข้าวไทยแพ้เวียดนาม" เสี่ยงหลุดครัวโลก
KEY
POINTS
- ดร.นิพนธ์เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ โดยกระจายอำนาจทางเศรษฐกิจสู่ชนบท ฟื้นฟูภาคเกษตรที่สูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน
- เสนอให้ย้ายแรงงานออกจากเกษตรต้นน้ำไปสู่อุตสาหกรรมแปรรูปอาหารและบริการในต่างจังหวัด เพื่อสร้างงานที่มีรายได้สูงขึ้นในท้องถิ่นโดยไม่ต้องย้ายเข้าเมือง
- ชี้รัฐต้องลงทุน 3 ด้าน ได้แก่ เทคโนโลยีสมัยใหม่, การวิจัยและพัฒนา เพิ่มงบวิจัยเป็น 2% ของ GDP ภาคเกษตร และสร้างบุคลากรด้านการเกษตร
ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวในงานสัมมนา Thailand Economic Outlook Out of the Trap จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ ถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการ ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยครั้งใหญ่ ทั้งในภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาคเกษตรกรรม โดยระบุว่าการปรับโครงสร้างที่เคยนำมาซึ่งความสำเร็จในอดีตได้หยุดชะงักมาตั้งแต่ทศวรรษ 2000
ภาคเกษตรสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน
ดร.นิพนธ์ ระบุว่า ประเทศไทยมีความสำเร็จมายาวนานในอดีต โดยเป็น "ครัวโลก" (Kitchen of the World) และมีสินค้าส่งออกสำคัญหลายรายการ แม้กระทั่งอาหารสุนัข-แมว เป็นอันดับ 4 ของโลก ความสำเร็จนี้มาจากความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันภาคเกษตรกำลังประสบปัญหาความอ่อนแออย่างรุนแรง ประเทศไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาดข้าวให้แก่ประเทศเวียดนามอย่างน่าตกใจ ทั้งที่ในอดีตเวียดนามเคยส่งนักวิจัยมาเรียนรู้การวิจัยจากประเทศไทย แต่ปัจจุบันชาวนาภาคกลางต้องนำเข้าพันธุ์ข้าวจากเวียดนามเข้ามาปลูก เนื่องจากไม่มีพันธุ์ที่ตอบโจทย์
และขาดแคลนงานวิจัยและบุคลากร มีการลงทุนวิจัยในภาคเกษตรน้อยมาก โดยมีการจัดสรรทุนวิจัยข้าวเพียง 180 ล้านบาท เทียบกับ GDP ภาคข้าวที่มีมูลค่ากว่า 200,000 ล้านบาท นอกจากนี้ นักปรับปรุงพันธุ์เก่ง ๆ ได้เกษียณอายุไปหมดแล้ว ทำให้ขาดแคลนงานวิจัยอย่างรุนแรง
อีกทั้ง นโยบายส่งเสริมเน้นการแจกจ่ายวัสดุการเกษตรและเครื่องจักร ซึ่งส่วนใหญ่มักไม่ตรงตามความต้องการของเกษตรกร แต่กลับตอบโจทย์นักการเมือง นอกจากนี้ นโยบายประชานิยมมีการใช้เงินแจกจำนวนมหาศาล บางปีมากกว่างบประมาณกระทรวงเกษตรทั้งกระทรวง ทำให้เกษตรกร "ไม่จำเป็นต้องปรับตัว"
งานวิจัยล่าสุดพบว่า ดัชนีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาคการเกษตรของไทยอยู่ในอันดับที่ 87 จาก 182 ประเทศ และดัชนีผลิตภาพก็อยู่ในอันดับ 87 เช่นเดียวกัน ดังนั้นหัวใจของการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตและลดความเหลื่อมล้ำคือ การย้ายแรงงานออก จากเกษตรต้นน้ำไปสู่อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องในกลางน้ำและปลายน้ำ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร, การค้าปลีกที่มีการแข่งขัน, การขนส่ง, ภัตตาคาร, โรงแรม และการท่องเที่ยว ซึ่งจะสร้างงานที่มีรายได้และใช้ทักษะดีขึ้น
ดร.นิพนธ์ ชี้ว่าทางออกของภาคเกษตรมี 3 ทาง คือ 1.การลงทุนในเทคโนโลยี 2.การปรับพฤติกรรมเกษตรกร ซึ่งยากและอาจใช้เวลานาน และ 3.การปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทย
รัฐบาลควรตั้งคณะทำงานเร่งด่วน เพื่อทำการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ต้องศึกษาความเป็นไปได้ของการ กระจายอำนาจทางเศรษฐกิจโดยเร่งด่วน สู่ชนบท
รัฐต้องปรับโครงสร้างที่เรียกว่า Green Food Value Chain เพื่อสร้างการจ้างงานใหม่ ๆ ในต่างจังหวัดที่บ้านเกิดควบคู่ไปกับการฝึกอบรมแรงงานและเกษตรกรให้มีทักษะใหม่และมีรายได้ทำที่บ้าน โดยไม่ต้องย้ายเข้ามาทำงานใน EEC หรือกรุงเทพฯ
ยุทธศาสตร์การลงทุน 3 ด้าน
การปฏิรูปครั้งนี้ต้องทำแบบ มีส่วนร่วม และจำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยรัฐบาลต้องปูพื้นฐานโดยเน้นการลงทุนในเทคโนโลยี 3 ด้าน ได้แก่ Data, Connectivity, เทคโนโลยีใหม่ เช่น Big Data, Precision Farming, Gene Editing และ Regenerative Culture และกำหนดเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน โดยเน้นความสำคัญเช่น
- วิจัยพื้นฐานของรัฐ ตั้งเป้าให้ทุนวิจัยของรัฐในภาคเกษตรอยู่ที่ 2% ของ GDP ภาคเกษตร เพื่อให้ผลิตภาพต่อไร่เพิ่มขึ้นเกิน 2% ต่อปีให้ได้
- แรงจูงใจเอกชน ต้องสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนลงทุนในงานวิจัยที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อสังคม (Spillover) และควรมีการทบทวนมาตรการลดหย่อนภาษี
- ทรัพยากรมนุษย์ ต้องลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ ควบคู่ไปกับการลงทุนในสินค้าทุน โดยเฉพาะการสร้างนักปรับปรุงพันธุ์ใหม่ และสร้างแรงจูงใจให้นักวิจัย
อย่างไรก็ตาม ดร.นิพนธ์ สรุปว่า ทางออกของเกษตรกรในอนาคต จะต้องหลากหลายเส้นทาง ได้แก่ การเป็นครัวเรือนเกษตรแปลงใหญ่ เป็นเกษตรกรมืออาชีพที่รวมกลุ่มเข้มแข็ง และการย้ายคนออกไปสู่ภาคที่มีผลิตภาพสูง เช่น อุตสาหกรรมอาหารและแปรรูป ภาคบริการ และการท่องเที่ยว


