posttoday

หอการค้าไทย ชี้จุดอ่อน SME เสี่ยงถูกทิ้ง เร่งปรับตัวสู้ Red Ocean

03 ตุลาคม 2568

หอการค้าไทย ชี้ธุรกิจไทยอยู่ในยุค ‘Red Ocean’ SME เสี่ยงถูกทิ้งกลางสมรภูมิการค้าโลก เร่งปรับตัวสู้สงครามราคา แก้เลื่อมล้ำ–ปิดจุดอ่อนด้าน Storytelling และการจัดการชื่อเสียง

งานสัมมนา “A Call for Adaptation The Sustainability in Trade & Industry”ในงาน Sustainability Expo 2025 ณ เพลนารีฮอลล์ ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 

 

ดร.วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวใน Specail Talk : SME ห่วงโซ่ธุรกิจสู่ความยั่งยืน ว่า ผู้ประกอบการไทยกำลังเผชิญกับช่วง "ขาลง" ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในประเทศไทยเท่านั้น แรงกดดันที่สำคัญมาจากการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศมหาอำนาจ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของซัพพลายเชนที่มาจากสงครามการค้า (Trade War)

 

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านการค้าและเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็น ความผันผวนของค่าเงิน ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นถือเป็นประเด็นหลักที่ขึ้นหน้าหนึ่งมาโดยตลอด 

 

ปัจจุบันกำลังมีการสืบสวนและตรวจเช็กถึงที่มาของความผันผวนดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการเทรดทองคำ (gold), คริปโตเคอร์เรนซี (cryptocurrency) ความสามารถในการแข่งขัน เศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกถึง 60% ความสามารถในการแข่งขันไม่ได้ขึ้นอยู่แค่การผลิตเก่งหรือต้นทุนดีเท่านั้น แต่ต้องสามารถ "แข่งราคาได้ด้วย" ในตลาดโลก

 

ทั้งนี้ภาคเอกชนกำลังมองหาวัตถุดิบและส่วนประกอบที่จะนำมาผลิตเพื่อให้ยังสามารถส่งสินค้าไปยังตลาดใหญ่ และตลาดหลักอย่างสหรัฐอเมริกาได้ แม้ว่าการแข่งขันจะยากขึ้น ในระยะสั้น สิ่งสำคัญคือการรักษาตลาดเก่า (เช่น สหรัฐฯ) ไว้ให้ได้

 

 

ตลาดภูมิภาคที่สำคัญ โดยประเทศไทยให้ความสำคัญกับตลาดในกรอบอาเซียนมากที่สุด ตามมาด้วยเอเชียและยุโรป ในขณะที่ ขณะนี้กำลังมีการเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงต้นปี 2569 โดยปกติแล้ว EU จะเข้มงวดมากเรื่องความยั่งยืน (Sustainability) แต่เนื่องจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่ EU เผชิญ ทำให้เริ่มมีการ "ผ่อนปรน" และพร้อมที่จะคุยเรื่องการค้าให้ได้ก่อน

 

ดร.วิศิษฐ์ มองว่า ช่วงเวลานี้เป็นจังหวะที่ "เวิร์คสุด" ในการผลักดันการทำ FTA กับหลายประเทศ เพราะมีความจำเป็นต้องมีความร่วมมือในกรอบต่างๆ

 

ปัญหา-ความท้าทายที่กระทบ SME

 

ดร.วิศิษฐ์ เผยอีกว่า ความเหลื่อมล้ำทางมาตรฐาน การแข่งขันยังต้องคำนึงถึงมาตรฐานสินค้า มาตรฐานโลกนั้นค่อนข้างชัดเจนว่ามาตรฐานใดที่ผู้ประกอบการรายย่อย (SME) สามารถทำได้ และมาตรฐานใดที่เหมาะกับรายใหญ่ แม้ว่า SME จะสามารถทำมาตรฐานทุกอย่างได้ หากมีเงินและมีความคุ้มค่า

 

อุปสรรคต้นทุนการตรวจรับรอง สำหรับสินค้าบางประเภท เช่น อาหารออร์แกนิค (Organic) ซึ่งคิดเป็นเพียง 1% ของ Future Food ที่ไทยส่งออก แต่เป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้น การขอรับรองมาตรฐานมีค่าใช้จ่ายสูง การตรวจรับรองไม่สามารถตรวจเองได้ ต้องจ้างบุคคลภายนอก และมาตรฐานก็แตกต่างกันไปตามประเทศปลายทาง (เช่น US Organic สำหรับสหรัฐฯ และ EU Organic สำหรับยุโรป)

ค่าใช้จ่ายที่สูงเกินกำลัง ค่าใช้จ่ายในการตรวจมาตรฐานเพียงอย่างเดียวอาจอยู่ที่ 100,000 - 200,000 บาท เกษตรกรหรือผู้ประกอบการ SME ที่มียอดขายต่อเดือนไม่ถึงหลักล้าน จะประสบปัญหาอย่างมากและไม่สามารถจ่ายค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้

 

อย่างไรก็ดี เมื่อจะมีการกำหนดมาตรฐานใหม่ๆ ในประเทศ ต้องคำนึงถึง SME ด้วย เพื่อลด "ความห่าง ความเหลื่อมล้ำ" ระหว่างรายใหญ่กับรายย่อย และทำให้ SME ยังสามารถผลิตสินค้าที่มีมาตรฐานออกมาขายได้

 

ธุรกิจไทยเร่งปรับตัวสู้ 'Red Ocean' เผชิญสงครามราคา

 

ดร.วิศิษฐ์ กล่าวต่อว่า ผู้ประกอบการไทยต้องมีการ ปรับเปลี่ยน (Adaptation) ตลอดเวลา เพื่อรับมือกับการแข่งขันในตลาดโลกที่ทวีความรุนแรงจนกลายเป็น "Red ocean" เนื่องจากการอยู่รอดไม่ได้ขึ้นอยู่แค่การหาตลาดใหม่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการรับมือกับความท้าทายด้านประชากรศาสตร์ การพลิกโฉมของอุตสาหกรรมยานยนต์ และจุดอ่อนสำคัญของประเทศในการสร้าง "สตอรีดี ๆ" เพื่อสื่อสารไปยังคนทั่วโลก

 

1. กลยุทธ์การขยายตลาดและการปรับเปลี่ยนสินค้า

คำว่า "ตลาดใหม่" มีความหมายที่ครอบคลุม ทั้งการทำสินค้าใหม่ไปตลาดเดิม, การทำสินค้าเดิมไปตลาดใหม่, หรือการทำสินค้าใหม่ไปตลาดใหม่ รวมถึงการหาทาง ขายของเพิ่มเติม ในตลาดที่เคยค้าขายกันอยู่แล้ว โดยอาจต้องอาศัยการเจรจาจากภาครัฐนำหน้า

 

เนื่องจากทุกสินค้าที่ขายดีจะมีคู่แข่งเข้ามาแย่งส่วนแบ่ง การปรับเปลี่ยนจึงต้องตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม

 

ความสะดวกสบายและขนาดสินค้า สินค้าในเชิงบริโภคจะต้องมีความสะดวกสบายมากขึ้น และขนาดของสินค้า (SKU) ต้องปรับเปลี่ยนไปตามขนาดครอบครัวที่เล็กลง เนื่องจากปัจจุบันบางครอบครัวเหลือสมาชิกเพียง 2 คน หรือบางคนเลือกที่จะไม่มีครอบครัวเลย ซึ่งเป็นแนวโน้มที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ

 

โอกาสจากสังคมสูงวัย สถิติอัตราการเกิดของประเทศไทยกำลังลดลงอย่างน่ากลัว ทำให้มีคนหายไปรุ่นหนึ่งในอีก 10-20 ปีข้างหน้า ในขณะที่ คนที่มีอายุเกินเลข 60 ปีขึ้นไป กลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นโอกาสในการพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อตอบโจทย์คนกลุ่มนี้

 

อย่างในวงการอาหารมีการมุ่งเน้นที่ Future Food และอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งเชื่อมโยงกับเรื่องสิ่งแวดล้อม แนวโน้มคือการส่งเสริมให้คนหันมาบริโภคพืชมากขึ้น (แม้จะไม่ได้ตัดเนื้อสัตว์ออกเป็นศูนย์) แต่หัวใจสำคัญคืออาหารเพื่อสุขภาพนั้น ยังต้อง "อร่อย" และทำให้ผู้บริโภคมีความสุข เพราะมีคนจำนวนน้อยมากที่สามารถรับประทานแบบคลีน 100% ได้จริง

 

2. การรับมือการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมจากสงครามราคา

ยกตัวอย่าง อุตสาหกรรมยานยนต์ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการปรับเปลี่ยนที่รวดเร็ว ตั้งแต่เครื่องยนต์ปกติ ไปเป็นไฮบริด จนถึง EV 

 

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ "สงครามราคา" โดยในอดีตแทบไม่เคยเห็นรถที่เปิดตัวในระดับราคา 1 ล้านบาท สามารถลดราคาลงมาต่ำกว่า 1 ล้านบาทได้ 

 

ดร.วิศิษฐ์ เปรียบเทียบว่าราคาสินค้ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก จนต้องมองเหมือนกับ "โทรศัพท์มือถือที่ซื้อมาแล้วใช้แล้วทิ้ง" ธุรกิจใดที่ไม่ได้เตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วแบบนี้จะประสบปัญหาอย่างแน่นอน

 

3. จุดอ่อนด้าน Storytelling และการจัดการชื่อเสียง

ประเทศไทยมีความเก่งและศักยภาพในหลายเรื่อง เช่น ด้านเกษตร, อาหาร, และการพัฒนาอุตสาหกรรมบางประเภท แต่สิ่งที่เรายังขาดอยู่มากคือ การทำ "สตอรีดี ๆ" ออกมาและเผยแพร่ไปจนถึงสายตาคนทั่วโลก ในขณะที่บางประเทศสามารถทำให้ของเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นที่พูดถึงได้ทั่วโลก

 

สิ่งที่น่ากังวลคือ ข่าวร้ายหรือข่าวปลอมกลับแพร่กระจายไปได้อย่างรวดเร็วมาก เช่น ผลกระทบต่อการท่องเที่ยว มีการนำข่าวไม่ดีเพียง 1 ข่าว ไปกระจายในโซเชียลมีเดีย จนส่งผลให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากที่อาจไม่เคยมาเมืองไทยเลย เพราะเชื่อว่าการมาประเทศไทยไม่ปลอดภัย ปัญหาคือข่าวร้ายเหล่านั้นยังคงค้างอยู่ในระบบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญในการแก้ไข การขาดทักษะในการโปรโมทและการเล่าเรื่อง (storytelling) จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องปรับปรุง

 

ข่าวล่าสุด

MIXUE ไทยบริจาค 1 ล้านบาท เร่งช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้