posttoday

SME ไทยสู่ความยั่งยืน "วิฤทธิ์" ชี้ทุน-มาตรฐาน-โอกาสคือกุญแจ

03 ตุลาคม 2568

นายวิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ชี้ 3 ปัญหาใหญ่ของ SME ไทยคือ เงินทุน มาตรฐาน และโอกาส แนะรัฐ-เอกชนร่วมยกระดับสู่ความยั่งยืน

KEY

POINTS

  • SME ไทยเผชิญความท้าทายหลัก 3 ประการ คือ การขาดแคลนเงินทุนซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเติบโต, การขาดมาตรฐานสากลที่ทำให้แข่งขันได้ยาก และการขาดโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลและตลาดของบริษัทขนาดใหญ่
  • ภาครัฐพยายามแก้ไขปัญหาเหล่านี้ผ่านกลไกต่างๆ เช่น จัดหาแหล่งเงินทุนผ่านธนาคารเฉพาะกิจ, การสร้างและยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เพื่อให้เป็นที่ยอมรับและใช้เป็นเครื่องมือทางการค้า
  • การส่งเสริม SME ให้แข่งขันได้ในเวทีโลกต้องเปลี่ยนจากการปกป้องไปสู่การจูงใจ เช่น การส่งเสริมให้บริษัทใหญ่ที่ได้รับการลงทุน (BOI) ใช้ SME ไทยในห่วงโซ่อุปทาน และสนับสนุนให้ SME เพิ่มผลิตภาพและพัฒนามาตรฐานของตนเอง

ภายในงาน SX2025 หรือ SUSTAINABILITY EXPO 2025: A Call for Adaptation The Sustainability in Trade & Industry จัดโดยกรุงเทพธุรกิจเครือเนชั่นทีวี ในวันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม 2568 ณ เพลนารีฮอลล์ ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ช่วง Special Talk: SME ห่วงโซ่ธุรกิจสู่ความยั่งยืน นายวิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมได้กล่าวถึง ความท้าทายและโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ทั้งในด้านการเงิน มาตรฐาน การเข้าถึงตลาด และการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ พร้อมทั้งบทบาทของภาครัฐและเอกชนในการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว

 

นายวิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

 

ความท้าทายและปัญหาของ SMEs และบทบาทภาครัฐ ในมุมมองของนายวิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ยกปัญหาหลัก 3 ประการของ SMEs คือ

  1. ขาดแคลนเงินทุน: เป็นอุปสรรคต่อการเติบโต แม้บางรายที่เติบโตแล้วอาจไม่จำเป็นต้องมีเงินทุนพร้อมเสมอไป
  2. ขาดมาตรฐาน: SME มักคิดและทำเองตามมาตรฐานของตนเอง ซึ่งอาจไม่เป็นมาตรฐานสากลหรือเป็นที่ยอมรับของบริษัทขนาดใหญ่
  3. ขาดโอกาส/ข้อมูล: SME ไม่รู้ว่าบริษัทขนาดใหญ่ต้องการอะไรในซัพพลายเชน และไม่ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของกฎกติกาโลก

 

ส่วนมาตรการที่ภาครัฐต้องแก้ไขปัญหาเหล่านี้คือ

ด้านเงินทุน: มีธนาคารเฉพาะกิจและกองทุนต่าง ๆ (เช่น กองทุนประชารัฐ) แต่ธนาคารมักมองธุรกิจที่ปล่อยกู้แล้วปลอดภัย/มีกำไร อย่างไรก็ตาม แบงก์กำลังปรับตัวมองอนาคตและลดการพึ่งพาสิ่งค้ำประกัน

ด้านมาตรฐาน: กระทรวงอุตสาหกรรมกำลังดำเนินการเรื่องมาตรฐานสากลให้ SME

ด้านโอกาส: ภาครัฐและธุรกิจขนาดใหญ่พยายามสื่อสารแนวโน้มโลก แต่ SME ต้องสามารถปรับตัวและนำไปใช้ได้

 

การปกป้อง vs. การส่งเสริม:

การปกป้อง: ในอดีตสามารถกำหนด Local Content Requirements (LCR) ได้ แต่ปัจจุบันกติกาการค้าโลก (WTO, FTA) ทำให้การปกป้องทำได้ยากขึ้น

การส่งเสริม: ใช้การจูงใจ (เช่น BOI แนะนำให้บริษัทใหญ่ที่เข้ามาลงทุนพิจารณาใช้ SME ไทยเป็นซัพพลายเชน) เน้นการเพิ่ม Productivity และ Standard เพื่อให้ SME แข่งขันได้

 

ส่วนในเรื่องมาตรฐานสำหรับ SME ไทย สามารถทำมาตรฐานสากลได้หากมีเงินทุน แต่ต้นทุนการตรวจรับรอง (เช่น Organic Certification สำหรับสหรัฐฯ/EU) สูงมาก (หลักแสนบาท) ทำให้ SME ขนาดเล็ก/เกษตรกรที่มีรายได้ไม่ถึงหลักล้านเข้าถึงได้ยาก ภาครัฐควรคำนึงถึงความสามารถของ SME ในการทำตามมาตรฐาน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ

 

ในส่วนของมาตรฐานระดับโลก ทำอย่างไร SME จึงจะขึ้นไปถึง และต้องส่งเสริมอย่างไร

นายวิฤทธิ์ กล่าวว่า สำหรับเรื่องนี้ไทยเราก็มีการกำหนดหรือสร้างมาตรฐานของเราขึ้นมาเช่นกันผ่านมีสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ที่ทำหน้าที่ออกมาตรฐานมาปีละราว 600 มาตรฐานเช่นมาตรฐานการตรวจสอบคุณภาพต่างๆ  ปัจจุบันมีกว่า 3,000 มาตรฐานกระจายอยู่ในสินค้า 144 รายการ เพราะมาตรฐานในอีกทางหนึ่งคือการกีดกันที่ดูเนียนที่สุด โดยที่ทั่วโลกก็ทำกัน เราต้องจึงสร้างมาตรฐานสินค้า ทั้งวิธีการทดสอบและกระบวนการของเราเอง

 

และต้องยกระดับมาตรฐานขึ้นไปอีก เช่น ล่าสุดเรามีมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน เพราะในอนาคตสงครามการค้าจะดำเนินต่อไปโดยจะใช้กฎกติกาหรือมาตรฐานต่างๆ เข้ามากำกับมากขึ้น

 

ส่วน SME ไทยจะทำอย่างไรก็ต้องปรับตัวกันต่อไป ทุกคนมีช่องในการจัดการตัวเอง แต่ถ้าไปจะต่างประเทศก็หนีไม่พ้นแน่นอนที่จะเจอมาตรฐานเหล่านี้ แต่จะทำอย่างไรให้โครงสร้างในการสร้างมาตรฐาน การทดสอบซึ่งมีต้นทุน เพื่อให้ได้มาตรฐาน ก็ต้องมีเครื่องมือมากขึ้นซึ่งรัฐก็ให้การสนับสนุนในเรื่องนี้อยู่

 

 

ข่าวล่าสุด

เงินเฟ้อหนุนลดดอกเบี้ย! SET จับตา ‘แก้รัฐธรรมนูญ’ ดันบรรยากาศบวก