"ฟลิ้งค์วัน" เปลี่ยนอู่รถเป็นธุรกิจลิฟต์บ้าน พิสูจน์ฝีมือวิศวกรไทย
คุยกับ "สรณ์ เยาวพงศ์ศิริ" ฟลิ้งค์วัน ผู้ผลิตลิฟต์บ้านสัญชาติไทย ที่อยากให้คนไทยเข้าถึงได้ทุกครัวเรือน ลบภาพฝีมือคนไทยเป็นเรื่องเพ้อฝัน
KEY
POINTS
- “เมืองไทยไม่มีเทคโนโลยีของตัวเอง” คำวิจารณ์ที่ได้ยินซ้ำ ๆ เมื่อต้องเปรียบเทียบสินค้ากับต่างชาติ
- สรณ์ เยาวพงศ์ศิริ เลือกพิสูจน์ ด้วยการก่อตั้ง ฟลิ้งค์วัน (FlinkOne) เปลี่ยนอู่ซ่อมรถมาทำธุรกิจผลิตลิฟต์บ้านสัญชาติไทย Ximplex เพื่อทุกครอบครัว
- วางเป้าขยายจากลิฟต์บ้าน สู่ตลาด Wellness & Longevity Tech ขายทั่วเอเชีย
“เมืองไทยไม่มีเทคโนโลยีของตัวเอง”
เป็นประโยคที่เรามักได้ยินซ้ำ ๆ เวลาพูดถึงสินค้าไฮเทค เพราะภาพจำของผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงผูกกับแบรนด์ใหญ่จากอเมริกา เยอรมัน หรือญี่ปุ่นเสมอ
คำถามที่ตามมาคือ “แล้วคนไทยจะทำได้เหมือนเขาจริงหรือ?”
เสียงวิจารณ์เหล่านี้ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ราวกับเป็นความจริงที่ยากจะเปลี่ยน ทั้งที่ในความเป็นจริง คนไทยมีฝีมือ มีไอเดีย และมีความสามารถไม่แพ้ใคร เพียงแต่ยังไม่ได้รับการยอมรับหรือสนับสนุนอย่างเต็มที่
นั่นคือจุดที่ “สรณ์ เยาวพงศ์ศิริ” ก้าวเข้ามาในสมการลุกขึ้นมาพิสูจน์ด้วยการก่อตั้ง ฟลิ้งค์วัน (FlinkOne) เมื่อ 8 ปีก่อน เป็นบริษัทสตาร์ทอัพไทยที่กล้าท้าทายตลาดระดับสากล เขาสร้าง “ลิฟต์บ้าน” สำหรับคนไทยในราคาที่จับต้องได้ และติดตั้งไม่ซับซ้อนเกินไป
ความเจ็บปวดที่เห็นภาพผู้สูงอายุขึ้นลงบันไดยากลำบาก
เรื่องราวของ สรณ์ เริ่มจากภาพที่คุ้นตาในทุก ๆ วัน คุณป้าของเขาที่อายุมากต้องลำบากกับการขึ้นลงบันไดบ้านสามชั้น ความเจ็บปวดเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ทำให้เขาเริ่มตั้งคำถามว่า ทำไมบ้านเราไม่มีทางเลือกที่ง่ายกว่านี้?
แน่นอนว่าลิฟต์บ้านมีขายอยู่แล้วในตลาด แต่ด้วยราคาที่สูงลิบและขั้นตอนติดตั้งที่ซับซ้อน โดยเฉพาะกับทาวน์เฮาส์ หรือบ้านตึกแถวที่ต้องเจาะรื้อใหญ่โต ทำให้มันกลายเป็นของไกลตัวสำหรับครอบครัวไทยส่วนใหญ่ สรณ์จึงตัดสินใจว่า “ถ้าไม่มีใครทำ เขาจะทำเอง”
แม้เมื่อสิบปีก่อนสังคมผู้สูงวัย ยังไม่ใช่เทรนด์ที่ถูกพูดถึงมากนัก แต่ด้วยพื้นฐานทางวิศวกรรมและความหลงใหลในงานสร้างสรรค์ สรณ์เชื่อมั่นว่าทางออกที่ทั้งคุ้มค่า ราคาเข้าถึงได้เมื่อเทียบกับแบรนด์หลักในตลาด และคุณภาพเชื่อถือได้ จะไม่ใช่ประโยชน์แค่กับคุณป้าของเขาเท่านั้น แต่ยังช่วยผู้สูงอายุอีกนับไม่ถ้วนที่เผชิญปัญหาเดียวกัน
ทีมงานโพสต์ทูเดย์ ได้มีโอกาสเยือนออฟฟิศของ ฟลิ้งค์วัน (FlinkOne) ซึ่งตั้งอยู่ ถ.เสนานิคม ย่านลาดพร้าว กรุงเทพฯ เพื่อสัมผัสบรรยากาศการทำงาน และฟังเรื่องราวเบื้องหลังการพัฒนา Ximplex ลิฟต์บ้านที่เกิดจากความตั้งใจเล็ก ๆ ในครอบครัว แต่ขยายไปสู่การท้าทายตลาดใหญ่ ซึ่งโรงงานตั้งอยู่ที่ อำเภอสูงเนิน จ.นครราชสีมา
ทุกสิ่งเริ่มต้นจากวิศวกรรมและความหลงใหล
สรณ์ เริ่มต้นบทสนทนากับเราว่า Everything Begin with Engineering and Passion เป็นคติประจำใจที่เขายึดมั่นมาตลอดตั้งแต่เริ่มเส้นทางธุรกิจจนถึงตอนนี้ แนวคิดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่หยั่งรากลึกมาจากอิทธิพลของครอบครัวที่ทำธุรกิจก่อสร้างมาก่อน และพ่อผู้เป็นทั้งนักประดิษฐ์และนักออกแบบเครื่องจักรที่เคยสร้างนวัตกรรมเพื่อชุมชนมาแล้วนับไม่ถ้วน ตั้งแต่เครื่องสีข้าว เครื่องบีบน้ำมัน จนถึงเครื่องแปรรูปกล้วยที่ช่วยสร้างอาชีพให้ชาวบ้านได้จริง และที่น่าภาคภูมิใจที่สุด คือการถูกกล่าวถึงว่าเป็น “คนไทยที่ประดิษฐ์เครนคนแรก ๆ ด้วยตัวเอง จนถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ฉบับนึง” (ซึ่งเขาแอบกระซิบเบาๆ ว่าถ้าจำไม่ผิดคงเป็นเช่นนั้น)
ภาพของพ่อในฐานะนักประดิษฐ์ คือแรงบันดาลใจที่ทำให้สรณ์เลือกเส้นทางเดียวกัน และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างฟลิ้งค์วัน ร่วมกับทีมงานเพียงไม่กี่คน พวกเขาตั้งใจจะออกแบบ “ลิฟต์บ้าน” ที่ทั้งดี มีคุณภาพ และเข้าถึงได้ง่ายสำหรับครอบครัวไทย
“ผมเชื่อว่าสูตรความสำเร็จมีสองอย่าง คือไอเดียที่ดี และวิศวกรรมที่เจ๋ง ถ้าเรามีทั้งสองอย่าง สิ่งที่เราสร้างขึ้นจะต้องแตกต่างและมีคุณค่า”
จากอู่รถสู่ลิฟต์บ้าน
“ตอนนั้นผมมีการาจรถ แต่ตัดสินใจปิดมันเพื่อทุ่มพลังทั้งหมดมาสร้างลิฟต์บ้าน”
สรณ์เล่าต่อว่า ปี 2014 ผมและทีมเล็ก ๆ เริ่มลงมือจริงจัง ตั้งแต่การศึกษาโครงสร้าง ความปลอดภัย ความต้องการของผู้ใช้งาน จนถึงความเหมาะสมกับบ้านไทย โปรเจกต์แรกยังไม่ใช่ลิฟต์โดยสารคน แต่เป็นลิฟต์ขนเวชภัณฑ์ ให้โรงพยาบาลสูงเนิน จ.นครราชสีมา ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนในการสร้าง แม้จะเป็นงานทดลอง แต่กลับกลายเป็นบทเรียนสำคัญที่ต่อยอดสู่ประสบการณ์ครั้งต่อ ๆ มา
จุดเปลี่ยนจริง ๆ เกิดขึ้นเมื่อฟลิ้งค์วันได้รับโจทย์จากครอบครัวหนึ่ง ซึ่งมีลูกนั่งวีลแชร์ และต้องขึ้นลงบ้านทุกวัน บ้านถูกสร้างเสร็จแล้ว แต่การติดตั้งลิฟต์ขนาดใหญ่ตามท้องตลาดแทบเป็นไปไม่ได้ ทั้งเพราะราคาและข้อจำกัดของพื้นที่ นั่นทำให้ทีมต้องคิดใหม่ทั้งหมด และออกแบบลิฟต์บ้านที่สะดวกต่อการติดตั้งโดยไม่ต้องรื้อโครงสร้างบ้านใหม่ ผลลัพธ์คือ Ximplex ลิฟต์บ้านรุ่นแรก ออกมาติดตั้งได้แม้อยู่ภายนอก แต่จะมีการวางระบบภายในเพื่อความปลอดภัย จากนั้นพัฒนามาเรื่อย ๆ
สำหรับสรณ์และทีม ฟีดแบ็กจากลูกค้ารายแรก ๆ คือคำตอบชัดเจนที่สุด ว่าสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นไม่ใช่แค่เครื่องจักร แต่มันสามารถเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนให้สะดวกสบายขึ้นอย่างแท้จริง จึงพัฒนามาสู่รุ่นต่อ ๆ ไป
โดยลูกค้าหลัก ๆ ของเราจะเป็นครอบครัว โฮมออฟฟิศ โรงพยาบาล ฯลฯ จุดเด่นเป็นลิฟต์บ้านระบบ All In One Servo ขับเคลื่อนภายในตัวด้วยสลิง เป็นลิฟต์ขนาดเล็ก 80 x 90 ซม. รับน้ำหนักได้ประมาณ 200 กิโลกรัม ใช้เวลาติดตั้งเพียง 3 วัน ไม่ต้องมีปล่อง ไม่ต้องเจาะพื้นตอกเสาเข็ม สามารถติดตั้งได้ทั้งอาคารใหม่ หรือบ้านรีโนเวท อายุการใช้งานมากกว่า 20 ปีขึ้นไป ราคาพร้อมติดตั้งเริ่มต้น 2-3 แสนบาทเป็นต้นไป
ลบภาพฝีมือคนไทยเป็นเรื่องเพ้อฝัน
เขายอมรับว่าตอนเริ่มพัฒนาต้องเผชิญกับเสียงวิจารณ์ไม่น้อย หลายคนตั้งคำถามว่า
“แบรนด์ต่างชาติยังใช้เวลาสร้างชื่อมานานกว่าจะเป็นที่ยอมรับ แล้วคนไทยจะทำได้จริงหรือ?”
ภาพจำแบบ “Japan Quality” หรือ “German Engineering” กลายเป็นกำแพงทางความคิดที่ฝังลึกในสังคมไทย จนทำให้การสร้างเทคโนโลยีด้วยฝีมือคนไทยดูเหมือนเป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่สำหรับผมคำถามเหล่านี้ไม่ใช่อุปสรรค แต่คือแรงผลักให้พิสูจน์ด้วยผลงานจริง สิ่งสำคัญคือเราต้องมองให้เห็นว่าตลาดยังขาดอะไร แล้วสร้างคุณค่าที่เข้าถึงง่าย ลิฟต์ที่ดีไม่จำเป็นต้องแพง แต่ต้องตอบโจทย์ผู้ใช้ได้จริง
สรณ์กล่าวว่าในตลาด ลิฟต์บ้านนำเข้ามีราคาตั้งแต่หลักแสนจนเกือบล้านบาท ฟลิ้งค์วันคาเริ่มต้นหลักแสน ลิฟต์มันไม่ใช่ของฟุ่มเฟือย แต่ควรเป็นสิ่งที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกบ้าน จุดแข็งของแบรนด์ไม่ได้อยู่ที่ “ถูกกว่า” แต่คือความคุ้มค่า (Value) การขึ้นลงที่นิ่มนวล ความปลอดภัยที่เชื่อถือได้ และการออกแบบให้ใช้งานง่าย เป็นมิตรกับทุกคน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ
วิศวกรไทย วันหนึ่งจะยืนข้างแบรนด์ต่างชาติได้อย่างภูมิใจ
“ผมคิดว่าในอุตสาหกรรมลิฟต์บ้าน เมืองไทยเองก็มีผู้ประกอบการหลายรายที่เป็นแรงบันดาลใจ และช่วยกันพัฒนาให้ตลาดเดินไปข้างหน้า แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือความเชื่อมั่นในวิศวกรรมไทยถ้าคนไทยเชื่อมั่นและสนับสนุนแบรนด์ไทยมากขึ้น ผมเชื่อว่าวิศวกรรมไทยสามารถยืนเคียงข้างแบรนด์ต่างประเทศได้อย่างภาคภูมิ”
“ทำไมเราไม่มีเทคโนโลยีแบบต่างประเทศ?”
“เมื่อไหร่คนไทยจะสร้างอะไรที่สู้เขาได้”
นี่คือคำถามที่ผมได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาตั้งแต่ยังเด็ก และมันไม่เคยหายไปจากความคิด ผมมองว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่คนไทยไม่มีความสามารถ แต่อยู่ที่ “ความมั่นใจในวิศวกรรมไทย (Thai Engineering) ที่ยังไม่แข็งแรงพอ”
ความมั่นใจนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพราะติดป้ายว่า “แบรนด์ไทย” แต่ต้องมาจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง บนพื้นฐานของความรู้ ความเชี่ยวชาญ และผลงานที่พิสูจน์ได้จริง
เกณฑ์ที่แท้จริงของการแข่งขัน ถ้าเราจะสร้างแบรนด์ไทย สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่ทำให้ราคาถูกกว่า แต่ต้องตอบโจทย์จริง ๆ ว่าสินค้าหรือเทคโนโลยีของเราจะสู้กับแบรนด์ต่างประเทศได้อย่างไร”
สำหรับผมราคาเป็นเพียงหนึ่งปัจจัย แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ คุณภาพชีวิตของผู้ใช้ และความคุ้มค่าที่ได้รับ เพราะในที่สุดแล้ว สิ่งที่ทำให้ผู้คนเลือกใช้ ไม่ใช่เพราะมันเป็นของไทยหรือต่างชาติ แต่เพราะมันทำให้ชีวิตดีขึ้นจริง
เดินทางสู่ตลาดใหญ่ในอีก 5 ปี
แม้บริษัท ฟลิ้งค์วัน จะเปิดดำเนินงานมาแล้วกว่า 8 ปี แต่รากฐานจริง ๆ ของธุรกิจเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2014 ในอู่ซ่อมรถเล็ก ๆ กับทีมงานไม่กี่คน โดยเริ่มจากโรงรถ และมีเป้าหมายชัดเจนว่าจะก้าวเข้าสู่ตลาดฯ ภายใน 5 ปี
“ก่อนเข้าสู่ตลาด เราต้องมี Roadmap ของการเติบโต และ Flagship Product ของเรา คือ Ximplex Homey ลิฟต์บ้านสำหรับครอบครัวทั่วไป ที่ไม่จำเป็นต้องร่ำรวยก็สามารถเข้าถึงได้ สิ่งสำคัญคือการตอบโจทย์ความสะดวกสบาย โดยเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งกำลังกลายเป็นสังคมแห่งอนาคต”
เขามองว่ากระแสสำคัญในวันนี้คือ Wellness และ Longevity Industry คนเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาวะที่ดีและการมีชีวิตที่ยืนยาว และ Ximplex ก็คือเทคโนโลยีในกลุ่ม Longevity ที่เข้าถึงได้จริง ไม่ใช่แค่สำหรับคนรวย แต่เพื่อครอบครัวไทยทุกระดับ
อย่างไรก็ตาม สรณ์ กล่าวว่า การเติบโตในอีก 5 ปีข้างหน้า จะถูกขับเคลื่อนด้วยคลื่นของ Wellness Technology และเป้าหมายระยะยาว คือการก้าวขึ้นเป็นผู้เล่นระดับเอเชีย ที่พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพชีวิตของคนทุกเจเนอเรชัน ไม่จำกัดแค่ “ลิฟต์บ้าน” เท่านั้น ซึ่งลิฟต์บ้านเป็นเพียงก้าวแรกของเรา ในอนาคตยังมีโอกาสอีกมากมายที่จะสร้างโซลูชันใหม่ ๆ เพื่อให้บ้านและชีวิตของคนไทยสะดวกสบายขึ้น พร้อมขยายสู่ตลาดอาเซียนและเอเชีย
สรณ์กล่าวว่า ในอนาคตบริษัทอาจจัดอีเว้นท์มากขึ้น โดยเฉพาะช่วงปลายปีนี้ที่กำลังจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งจะเป็นโอกาสสำคัญในการสื่อสารกับผู้ใช้และสร้างประสบการณ์รอบด้าน สิ่งที่สำคัญสำหรับการเติบโตในอีก 5–10 ปี คือแนวคิด Sharing Society หรือสังคมแห่งการแบ่งปัน
“เทคโนโลยีจะเติบโตได้ ไม่ใช่แค่เราโตคนเดียว ถ้าอยากให้ ‘เค้ก’ ก้อนใหญ่ขึ้น ต้องมีคนมาช่วยทำเค้กให้เยอะขึ้น”
สำหรับลิฟต์บ้าน เขามองว่าในอนาคต การให้บริการไม่จำเป็นต้องทำเองทั้งหมด แต่จะสร้าง localization ในแต่ละชุมชนหรือจังหวัดที่ติดตั้งลิฟต์ เพื่อสร้างอาชีพให้คนท้องถิ่นเป็นช่างติดตั้ง ซ่อมบำรุง และดูแลลิฟต์
“เรามีความเชื่อว่า การเติบโตของเรา ต้องเติบโตพร้อมกับสังคม ถ้าเราช่วยสังคม สังคมก็จะให้เรา นี่คือหลักคิดที่ซ่อนอยู่ในเทคโนโลยีใหญ่ ๆ ที่สามารถ scale ได้” สรณ์ กล่าวทิ้งท้าย


