NIA เปิดแผนพาไทยขึ้นแท่น Global Startup Hub สร้างมูลค่าเศรษฐกิจ
NIA ฉายภาพอนาคต Startup vs SME เปิดแผนผลักดันไทยสู่ Global Startup Hub ดึง Soft Power–โครงสร้างพื้นฐาน เสริมแกร่งสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ได้อัพเดทถึงความคืบหน้าในการผลักดันสตาร์ทอัพ และผู้ประกอบการ SME ไทย รวมถึงทิศทางในการผลักดันในอนาคต โดยเริ่มฉายภาพว่า สิ่งแรกที่มองเห็นคือจุดแข็งและจุดเด่น ประเทศเรามีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นถนน ไฟฟ้า ประปา อินเทอร์เน็ต ซึ่งต้องยอมรับว่ามีความรวดเร็วและครอบคลุม ไม่แพ้ใคร รวมถึงการสนับสนุนจากภาครัฐ และการเปิดกว้างด้าน Open Innovation
อีกหนึ่งจุดแข็งของไทยคือการประสานระหว่าง วัฒนธรรม และเทคโนโลยีได้อย่างลงตัว ซึ่งสอดคล้องกับแนวทาง Soft Power ของรัฐบาล หากดูจาก Global Innovation Index ไทยถือว่ามีการส่งออกสินค้าและบริการเชิงสร้างสรรค์จำนวนมาก
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีความโดดเด่นด้าน ความหลากหลายทางชีวภาพ แม้อาจไม่ติดอันดับต้น ๆ ของโลก แต่ก็ยังอยู่ใน Top 10 ด้วยความได้เปรียบจากการเป็นประเทศเขตร้อนชื้นที่มีความหลากหลายของสายพันธุ์จำนวนมาก
“วันนี้ประเทศไทยมีทรัพยากรธรรมชาติที่ได้รับการฟื้นฟูและอนุรักษ์มากขึ้น เรามีความหลากหลายทั้งสมุนไพร พืชพรรณ และสัตว์ ซึ่งถือเป็นจุดเด่นสำคัญ แต่ความท้าทายคือจะทำอย่างไรให้สิ่งเหล่านี้ถูกต่อยอดเป็น ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเพื่อการส่งออก”
ดร.กริชผกา ยกตัวอย่างว่า เกาหลีใต้สามารถสร้างอุตสาหกรรมเครื่องสำอางที่แข็งแรงจากการนำเข้าวัตถุดิบอย่างเมือกหอยทากจากไทยไปพัฒนาต่อยอดจนกลายเป็นสินค้าที่ทั่วโลกนิยมซื้อ ในขณะที่ประเทศไทยเองกลับยังสร้างมูลค่าเพิ่มได้ไม่มากนัก เราจึงต้องพยายามพัฒนา Value Chain ภายในประเทศ เพื่อให้มูลค่าทางเศรษฐกิจอยู่ในบ้านเรามากขึ้น
สำหรับปีหน้า NIA คาดว่าจะได้เห็น ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมจากความหลากหลายทางชีวภาพ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในมิติของนวัตกรรมเชิงสังคม
นักลงทุนมองหาอาเซียน
นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นว่า ท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก นักลงทุนกำลังมองหาโอกาสใหม่ ๆ และอาเซียนกำลังเป็นภูมิภาคที่น่าสนใจมากขึ้น
“ประเทศไทยเองก็ต้องหาวิธีดึงดูดเงินลงทุน ไม่ว่าจะผ่าน BOI หน่วยงานรัฐ หรือความร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน”
Startup vs SME ใครมีอัตราอยู่รอดกว่า
ดร.กริชผกา กล่าวต่อว่า โครงสร้างธุรกิจของไทยยังคงขับเคลื่อนโดย SME เป็นหลัก ตัวเลขล่าสุด SME มีมากกว่า 3 ล้านราย (สสว. ประเมินไว้ราว 3.2 ล้านราย) ขณะที่ Startup จดทะเบียนจริงมีเพียงราว 2,000 รายเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากหากเทียบกับฐานธุรกิจทั้งหมด
เมื่อมองเชิงพื้นที่ Startup ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ใน กรุงเทพฯ ปริมณฑล เชียงใหม่ ภูเก็ต รวมถึงเมืองใหญ่บางแห่ง เช่น ขอนแก่น และโคราช แต่หากขยับออกไปนอกพื้นที่เหล่านี้ สิ่งที่เจอมากกว่าก็คือ SME ที่ยังคงเป็นกลไกหลักของเศรษฐกิจภูมิภาค
สิ่งที่น่าสนใจคือ “อัตราการอยู่รอด” ของ SME สูงกว่า Startup เหตุผลเพราะ SME แม้อาจไม่ได้หวือหวาเท่า Startup แต่มีโมเดลธุรกิจที่จับต้องได้และอยู่บนฐานความต้องการจริงของตลาด ขณะที่ Startup แม้มีเทคโนโลยีล้ำและไอเดียดี แต่หลายครั้งยังไม่รู้วิธีทำ scale up หรือหาตลาดที่ชัดเจน
ดังนั้น ในหลายพื้นที่จึงเห็นการผสานกันระหว่าง SME และ Startup บางรายร่วมมือทำธุรกิจด้วยกัน กลายเป็นอีกหนึ่งทางออกที่ทำให้เทคโนโลยีไม่ถูกทิ้งไว้ในห้องแลบ แต่ถูกนำมาใช้จริงในตลาด
หากมองเปรียบเทียบระดับภูมิภาค ไทยไม่ต่างจากหลายประเทศ เช่น มาเลเซียหรือญี่ปุ่น ที่ระบบเศรษฐกิจยังพึ่งพา SME เป็นแกนหลัก ญี่ปุ่นเองแม้มีเทคโนโลยีสูง แต่ในเชิงโครงสร้างก็ยังขับเคลื่อนด้วย SME เป็นส่วนใหญ่
ดังนั้น สำหรับประเทศไทย สิ่งที่ไม่ควรละเลยคือการ ผลักดันให้ SME ก้าวสู่การเป็น “ผู้ประกอบการนวัตกรรม” ใช้นวัตกรรมในการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่เติบโตได้ในระยะยาว เพราะไม่ว่าจะเป็น Startup หรือ SME สุดท้ายแล้วต่างก็มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจนวัตกรรมไทยทั้งสิ้น
เป้าหมายสู่ Innovation Nation
ในช่วงที่ผ่านมา ดร.กริชผกา กล่าวอีกว่า NIA ในฐานะผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม ได้สนับสนุนผู้ประกอบการผ่านการ ทั้ง SME, Startup และ Social Enterprise ในการขับเคลื่อนนวัตกรรม
Groom บ่มเพาะและพัฒนาศักยภาพด้านนวัตกรรม Grant การให้เงินทุน Growth การสร้างโอกาสขยายตลาดและแหล่งเงินทุน และ Global การเข้าสู่ตลาดระดับโลก โดยมีเป้าหมายทำให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น Innovation Nation
ดร.กริชผกา กล่าวถึงบทบาทของ NIA Academy ว่าเป็น “หัวเรือใหญ่” ในการ grooming และบ่มเพาะผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ผ่านหลากหลายหลักสูตรที่ออกแบบมาสำหรับกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ ตั้งแต่เยาวชน ไปจนถึงผู้ประกอบการและผู้บริหาร ปัจจุบันมีหลักสูตรไม่น้อยกว่า 16 หลักสูตร รวมถึงคอร์สเรียนออนไลน์ ซึ่งในปี 2568 มีผู้เข้าร่วมแล้วกว่า 40,000 คน
และสำหรับกลุ่มที่ต้องการพัฒนาและต่อยอดนวัตกรรมสู่เชิงพาณิชย์อย่างจริงจัง NIA พร้อมจะร่วมสนับสนุนเงินทุน โดยแบ่งเป็นทุนนวัตกรรมที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ และทุนนวัตกรรมรายพื้นที่ โดยในปีนี้ NIA สนับสนุนธุรกิจนวัตกรรมไปแล้ว 254 โครงการ มูลค่าการสนับสนุนกว่า 397 ล้านบาท (ข้อมูล ณ เดือนสิงหาคม)
NIA ให้ความสำคัญกับการสร้างโอกาสขยายตลาดและแหล่งเงินทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพของไทย
จึงได้จัดทำโปรแกรมเร่งสร้างการเติบโตของธุรกิจนวัตกรรมใน 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ การเกษตร อาหาร การแพทย์และสุชภาพ พลังงานและสิ่งแวดล้อม และท่องเที่ยว/ซอฟต์พาวเวอร์/สังคม
โดยในปี 2569 NIA ตั้งเป้าเร่งสร้างการเติบโตให้กับสตาร์ตอัพ 100 กิจการ ซึ่งคาดว่าจะเกิดรายได้จากธุรกิจนวัตกรรม 1,000 ล้านบาท และเกิดการลงทุนเพิ่มกว่า 2,000 ล้านบาท
รวมถึงการส่งเสริมและเผยแพร่ตัวอย่างความสำเร็จทางนวัตกรรมผ่าน ‘โครงการนิลมังกร’ ซึ่งเข้าสู่ปีที่ 3 โดยรุ่นที่ 1 และ 2 สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการแบรนด์นวัตกรรมไทยกว่า 40 ราย เฉลี่ย 3.4 เท่า หรือคิดเป็นมูลค่าเศรษฐกิจกว่า 530 ล้านบาท
ในอีกมิติหนึ่ง NIA ยังเดินหน้าสนับสนุน เครือข่ายมหาวิทยาลัยทั่วประเทศกว่า 50 แห่ง ภายใต้โครงการ Startup Thailand League ซึ่งจัดต่อเนื่องมา 9 ปีแล้ว มีนักศึกษาเข้าร่วมแล้วกว่า 72,684 คน แบ่งเป็นกว่า 3,800 ทีม ก่อตั้งบริษัทจริงแล้วราว 90 บริษัท และสร้างผลกระทบทางธุรกิจมากถึง 149 กิจการ กิจกรรมนี้ไม่เพียงช่วยให้นักศึกษามีโอกาสเรียนรู้การเป็นผู้ประกอบการตั้งแต่การ coaching การ original pitching ไปจนถึง demo day เท่านั้น แต่ยังดึงดูดความสนใจจาก VC ที่มองเห็นศักยภาพของเด็กรุ่นใหม่ตั้งแต่ยังเรียนอยู่
ทั้วยังเปิดเผยว่า จะเปิด NIA Venture ซึ่งจะเข้ามาเสริมทัพจากกลไกเดิมของ NIA ร่วมลงทุนและถือหุ้นในสตาร์ตอัปได้โดยตรง
ขณะเดียวกันยังเดินหน้าพัฒนา Accelerator Programs เพื่อสร้างผู้เล่นใหม่ในอุตสาหกรรม โดยมี 5 โปรแกรมหลัก ได้แก่
- ด้านการเกษตร เร่งสร้างการเติบโตของธุรกิจนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีการเกษตร
- ด้านอาหาร มี Thai Kitchen (เปิดใหม่ปีนี้) สำหรับผู้ประกอบการที่มีนวัตกรรม และเทคโนโลยีด้านอาหาร รวมถึง Space-F (International Accelerator Program ด้าน Food Tech) มุ่งส่งเสริมสินค้าอาหารและวัฒนธรรมไทยให้ออกสู่เวทีโลก
- SPEAR Health โฟกัสการแพทย์และเฮลท์แคร์ เป็นการต่อยอดจาก Medical Innovation District เตรียมยกระดับเป็น Thailand Innovation Hub ด้านการแพทย์ โดยดึงทั้งโรงพยาบาลรัฐ เอกชน อย. และ สปสช. เข้าร่วม เพื่อเชื่อมงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์
- Climate Accelerator เน้น Climate Tech และ Green Tech เพิ่งเปิดตัวพร้อมกิจกรรม Pitching ในสาย Social Innovation
- Social Impact ในปีนี้ NIA ได้เพิ่ม Social Innovation Accelerator เป็นครั้งแรก เปิดโอกาสให้ Social Enterprise และผู้พัฒนานวัตกรรมเพื่อสังคมเข้ามามีส่วนร่วม
ปักธงไทยเป็น Global Startup Hub
ดร.กริชผกา กล่าวอีกว่า NIA มุ่งผลักดันประเทศไทยให้เป็น Global Startup Hub โดยสร้าง Ecosystem ที่สามารถดึงดูด Startup ต่างชาติให้เข้ามาใช้ไทยเป็นฐานธุรกิจ เหตุผลสำคัญคือ เมื่อ Startup เข้ามาทำธุรกิจในไทย จะสร้างมูลค่าและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นในประเทศ ขณะเดียวกัน ไทยยังถูกวางให้เป็น ศูนย์กลางของภูมิภาค ด้วยจุดแข็งจากอุตสาหกรรมหลากหลายสาขา เพื่อย้ำบทบาท “ปักธงไทยบนเวทีโลก” โลโก้และการนำเสนอต่าง ๆ จึงมีสัญลักษณ์ธงชาติไทยประกอบเสมอ
NIA ให้บริการเพื่อเชื่อมโยงกับ Startup และหน่วยงานต่างประเทศ เช่น Investment , Startup Visa, Consulting, Marketing, Networking & Partnership, Certification และการลด Capital Gap ซึ่งเป็นกลไกที่เปิดโอกาสให้ Startup ต่างชาติสามารถเข้ามาโตในไทย ปัจจุบัน NIA มีพันธมิตรครอบคลุมทั่วโลก ทั้งเอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรป แอฟริกา อเมริกา และออสเตรเลีย
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงสัดส่วนการเติบโตของ Startup ภายใต้การสนับสนุนของ NIA
ดร.กริชผกา เผยว่า หากดูจากสถิติที่ผ่านมา สมมติว่า NIA สนับสนุน Startup จำนวน 100 กิจการ ผลลัพธ์ที่ได้คือเกือบทั้งหมด “อยู่รอดครบ” ไม่มีการปิดตัว ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าพอใจมาก ที่สำคัญคือเมื่อวัดการเติบโตจริง เราจะเก็บข้อมูลย้อนหลัง 2 ปี เพื่อดูผลลัพธ์ว่าธุรกิจไปต่อได้อย่างไร ค่าเฉลี่ยแล้ว Startup ที่ได้รับการสนับสนุนมีการเติบโตมากถึง 9 เท่า ของโครงการที่เข้ารับทุน ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับมาตรการสนับสนุนจากหลายหน่วยงาน
นวัตกรรมที่ NIA มองไปข้างหน้า
สำหรับปีหน้า NIA มีแผนผลักดัน Dual Use Technology โดยเฉพาะด้าน DefenseTech ที่เกี่ยวกับความมั่นคง เพื่อให้อุปกรณ์ที่ใช้ในอนาคตถูกพัฒนาภายในประเทศ ลดการนำเข้า และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ
นอกจากนี้ยังมี เทรนด์สุขภาพและการใช้ชีวิต ที่มาแรง เช่น probiotic, functional food, ยาส่วนบุคคล (personalized medicine) และนาโนเทคโนโลยีสำหรับการรักษาเฉพาะจุด ขณะเดียวกัน data security ก็เป็นอีกประเด็นสำคัญ เพราะยิ่งข้อมูลเติบโตมาก ความต้องการด้านความปลอดภัยยิ่งสูงขึ้น
ท้ายที่สุด เทรนด์ใหญ่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ นวัตกรรมด้าน Climate Tech ที่เกี่ยวกับการติดตามและรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ระบบ tracking, modeling, carbon credit management เนื่องจากสภาพอากาศทั่วโลกกำลังผันผวนรุนแรงและกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจและสังคม


