‘จิรโรจน์’ SC GRAND ทายาทรุ่น 3 พลิกวิกฤตสิ่งทอสู่แบรนด์ CIRCULAR
เปิดใจ ‘จิรโรจน์ พจนาวราพันธุ์’ ทายาทรุ่นที่ 3 แห่ง SC GRAND ผู้พลิกฟื้นธุรกิจครอบครัวท่ามกลางวิกฤตสิ่งทอถดถอย
KEY
POINTS
- เปิดใจ จิรโรจน์ พจนาวราพันธุ์ ทายาทรุ่นที่ 3 ของ SC GRAND ผู้พลิกฟื้นธุรกิจครอบครัวท่ามกลางวิกฤตสิ่งทอถดถอย
- ต่อยอดจากการผลิตเส้นด้ายและผ้ารีไซเคิล สู่การสร้างแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่น "CIRCULAR"
- วางเป้าหมาย SC GRAND ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการรีไซเคิล (Recycle Hub) ชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน
เรื่องราวของ SC GRAND หรือ บริษัท แสงเจริญแกรนด์ จำกัด เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2508 จากธุรกิจรับซื้อเศษผ้าและเส้นด้ายจากโรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอ ก่อนบรรจุหีบห่อส่งขายต่างประเทศ จนกระทั่งรุ่นที่ 2 มองเห็นศักยภาพใหม่เมื่อพบว่าต่างประเทศนำเศษผ้ามาผลิตเป็นเส้นด้ายได้ จึงตัดสินใจเปิดโรงงานปั่นด้าย ผลิตเส้นด้าย เพื่อต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมหลากหลาย
จนมาถึงยุครุ่นที่ 3 ภายใต้การบริหารของ ‘จิรโรจน์ พจนาวราพันธุ์’ SC GRAND ได้พัฒนาเป็นผู้ผลิตผ้ารีไซเคิลคุณภาพสูง และมีเป้าหมายที่จะเป็นศูนย์กลางการรีไซเคิลสิ่งทอชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน
จิรโรจน์ ให้สัมภาษณ์กับทีมงาน โพสต์ทูเดย์ ที่ชั้น 3 ของช็อป Circular ณ สยามสแควร์ ซอย 2 ช็อปแห่งนี้ถูกจัดสรรพื้นที่อย่างมีเรื่องราว โดยชั้นล่างเป็นร้านรองเท้าแบรนด์ MANGO MOJITO ชั้น 2 เป็นร้านเสื้อผ้าแบรนด์ CIRCULAR ส่วนชั้น 3 ใช้สำหรับประชุมคู่ค้า
การเดินทางของรุ่น 3 สู่การเติบโต
จิรโรจน์ เล่าถึงเส้นทางการพลิกฟื้นธุรกิจครอบครัวที่สืบทอดมาถึงรุ่นที่ 3 ผ่านทั้งวิกฤตและความท้าทายหลายด้าน เขายอมรับตรง ๆ ว่าในตอนแรกไม่ได้ตั้งใจสืบทอดธุรกิจครอบครัว
“หากมองย้อนกลับไป ทุกวันนี้ไม่ได้โทษใครเลย นอกจากตัวเอง เมื่อก่อนเรามักคิดว่าทางบ้านไม่เข้าใจสิ่งที่เรามองหรือสิ่งที่เราอยากทำ แต่จริง ๆ แล้ว ความผิดก็อยู่ที่เราเอง เราใจร้อนเกินไป และอาจสื่อสารกับท่านไม่ดีพอ จนทำให้ท่านไม่เข้าใจสิ่งที่เราตั้งใจจะเดินไป”
เพราะความใจร้อนนั้นเอง เขาจึงเลือกออกไปทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง เริ่มจากการสร้าง MANGO MOJITO แบรนด์รองเท้าสัญชาติไทยที่มุ่งเน้นคุณภาพระดับพรีเมียมในราคาที่จับต้องได้ เนื่องจากมองเห็นช่องว่างของตลาดรองเท้าแฟชั่นไทย และเลือกนำเสนอรองเท้า Craftsmanship ที่เกิดจากความหลงใหลส่วนตัวต่อรองเท้างานฝีมือ จนตัดสินใจผลิตรองเท้าคุณภาพโดยช่างไทย แต่สามารถแข่งขันได้ในระดับเดียวกับแบรนด์ต่างประเทศ
นอกจากนี้ เขายังเคยเทรดหุ้นหลายตัว หนึ่งในนั้นคือหุ้น META ต่อมาก็ไปร่วมลงทุนในสตาร์ทอัพงานฝีมือ VT Thai (หรือแบรนด์วิถีไทย) www.vtthai.com เว็บไซต์ที่รวบรวมงานหัตถกรรมไทยจากชุมชน
วิกฤตรุมเร้าจึงหันกลับมาสานต่อธุรกิจครอบครัว
หลังจากโลดแล่นในเส้นทางธุรกิจตนเองมาสักพัก จิรโรจน์ ตัดสินใจกลับมาต่อยอดธุรกิจครอบครัวจริงจัง ๆ ราว ๆ ช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ระบาด เขาเล่าว่า จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นจาก เหตุการณ์ทุจริตในธุรกิจ
คนใกล้ชิดมือขวาของคุณยาย ซึ่งอยู่ด้วยกันมากว่า 20 ร่วมมือกับซัพพลายเออร์และลูกค้าบางกลุ่ม ควบคุมทั้งการจัดซื้อวัตถุดิบและคู่ค้าเหตุการณ์นั้นทำให้เขารับรู้เลยว่า ‘ความเชื่อใจอาจไม่มีอยู่จริง หรือหาได้ยากมาก’ ซึ่งเป็นผลจากระบบบริหารงานสมัยก่อนที่พึ่งพาแต่ความเชื่อใจ ประกอบกับช่วงนั้นเป็นยุคขาลงของสิ่งทอ ไม่นานวิกฤตโควิดเข้ามาซ้ำเติม เป็นสถานการณ์ที่รุ่นก่อนหน้าไม่เคยเจอมาก่อน และต้องตัดสินใจบางอย่างสำคัญ
"ผมเห็นว่าเราอาจพอมีหนทางหาทางออกหรือหาวิธีแก้ไขได้ จึงได้รับโอกาสให้เข้ามาบริหาร และเป็นจุดที่ต้องตัดสินใจว่าจะเดินหน้าต่อไปหรือไม่”
ในการกอบกู้วิกฤตจากการทุจริต จิรโรจน์เล่าว่า เขาเริ่มจากมองใครบ้างที่หลุดหายไปจากธุรกิจในช่วง 10–20 ปีที่ผ่านมา จากนั้นค่อย ๆ เข้าไปพูดคุยกับบุคคลเหล่านั้น เพื่อนำข้อมูลมาต่อเป็นจิ๊กซอว์ แม้เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่สุดท้ายสามารถคลี่คลายสถานการณ์จนจบลงด้วยดี
เปลี่ยนของที่ไม่มีมูลค่า ให้กลายเป็นสิ่งที่มีมูลค่าสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม วันนี้เขาเลือกที่จะโฟกัสกับธุรกิจครอบครัวเป็นหลัก เพราะแรงบันดาลใจที่ได้รับจากคุณยาย “คุณยายมักพูดเสมอว่า ยอมลำบากเพื่อให้ลูกหลานสบาย และสิ่งที่ท่านทำมาตลอดคือการเปลี่ยนของที่ไม่มีมูลค่า ให้กลายเป็นสิ่งที่มีมูลค่าสูงขึ้น คุณยายยังชอบพูดติดตลกแบบตรง ๆ ว่า ‘ทำอุจจาระให้เป็นทอง’
“ผมมีลูกสาว สมมติว่าอยากสอนอะไรบางอย่างให้เขา ผมไม่ได้บอกว่าผมเก่งกว่าที่บ้าน แต่คิดว่าการสอนลูกก็เหมือนกับการพาเขาขึ้นบันไดเลื่อน ถ้าอยากให้เขาเห็นว่ามันเร็วกว่าเดินขึ้นบันไดปกติ เราก็ต้องเริ่มจากบันไดเลื่อนที่ไม่สูงมากก่อน ให้เขาค่อย ๆ เห็นภาพและค่อย ๆ ไต่ไปทีละขั้น จนถึงจุดที่สูงขึ้นเอง”
หลักการนี้สะท้อนกับการทำธุรกิจของเขาเช่นกัน ก่อนจะเปิดตัวแบรนด์ CIRCULAR เขาเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ อย่างการทำเส้นด้ายย้อมสี
“เราเห็นว่าเส้นด้ายไม่จำเป็นต้องมีแต่สีดิบหรือสีขาวเท่านั้น มันสามารถต่อยอดทำเป็นเส้นด้ายสีได้ แต่ตอนนั้นก็ยังกังวลเรื่องตลาด เรื่องการผลิต เลยค่อย ๆ เริ่มจากตรงนั้น แล้วค่อยพัฒนาไปสู่การสร้างแบรนด์จริง ๆ ให้คนเห็นว่า ของที่ไม่มีแบรนด์ก็สามารถสร้างให้มีแบรนด์ได้ มีระบบ มีทีมงานใหม่ ๆ เข้ามา”
เขาเปรียบเทียบว่าเหมือนการแบ่งพิซซ่า “ตอนแรกเราเริ่มจากพิซซ่าชิ้นเล็ก ๆ ค่อย ๆ ขยายจนกลายเป็นพิซซ่าชิ้นใหญ่ ถ้าหากวันหนึ่งเราก้าวไปทำ CIRCULAR ทันที แล้วไปขายผ้าให้การบินไทยหรือ Corporate Brand ระดับโลกเลย มันคงเป็นพิซซ่าชิ้นใหญ่เกินไป เราต้องค่อย ๆ สร้างภาพ ค่อย ๆ พิสูจน์ให้เห็นก่อน”
สิ่งทอรีไซเคิลครบวงจร คือจุดแข็งธุรกิจ
จุดแข็งของ บริษัท แสงเจริญแกรนด์ จำกัด และกลุ่มบริษัทในเครือ คือการเป็นผู้ให้บริการสิ่งทอรีไซเคิลครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบ พัฒนา ไปจนถึงการผลิตงานสิ่งทอทุกชนิด โดยเฉพาะผ้ารีไซเคิล 100% ที่ไม่ผ่านการฟอกย้อม ผลิตจากเศษด้าย เศษผ้าในโรงงานตัดเย็บ รวมถึงเสื้อผ้าเก่าที่นำกลับมารีไซเคิลเป็นผ้าใหม่
โครงสร้างธุรกิจในเครือประกอบด้วย 3 บริษัทหลัก ได้แก่
- บริษัท แสงเจริญแกรนด์ จำกัด (SC GRAND) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผ้ารีไซเคิล B2B ภายใต้แบรนด์ SC GRAND
- บริษัท เซอร์คูลาร์ อินดัสทรี้ จำกัด ผู้พัฒนาและจำหน่ายเสื้อผ้าแฟชั่นจากผ้ารีไซเคิล ภายใต้แบรนด์ CIRCULAR เน้นตลาด B2C
- บริษัท อุตสาหกรรมคลองสวนการฝ้าย จำกัด ผู้ผลิตอุปกรณ์ทำความสะอาด ภายใต้แบรนด์ SUPERCAT เช่น ไม้ม็อบถูพื้น
ถ้าคิดว่าจะขาดทุนตั้งแต่วันแรกมันก็จะขาดทุน
จิรโรจน์ยังยอมรับว่า ในอดีตเขาเคยเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีในการลงทุน ลงทุนแบบ ‘บ้าคลั่ง’ เพราะคิดว่ามีเงินหนุนสำรอง แต่บทเรียนครั้งนั้นทำให้เขาสรุปว่า การลงทุนต้องมี Mindset ที่ถูก
“ถ้าเรามี Mindset ว่าจะขาดทุนตั้งแต่วันแรก เราก็จะขาดทุนตั้งแต่วันแรกจริง ๆ คำนี้ผู้ใหญ่เคยสอนผมไว้ แต่ถ้าเราเริ่มต้นด้วย Mindset ว่าจะมีกำไรตั้งแต่วันแรก โอกาสที่จะทำกำไรได้ก็มีตั้งแต่วันแรกเหมือนกัน”
เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า หากลองสังเกตจากรายการธุรกิจหรือการแข่งขันทั้งในไทยและต่างประเทศ จะเห็นว่า คนที่เริ่มต้นโดยไม่มีอะไรเลย มักจะพยายามใช้ทุกสิ่งรอบตัวให้คุ้มค่าที่สุด เพื่อสร้างกำไรขึ้นมาได้
“เพราะฉะนั้นถ้าย้อนกลับไป ผมถือว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีนัก ตอนนั้นเราลงทุนโดยไม่ได้คิดรอบคอบ แต่ทุกวันนี้เราเรียนรู้คุณค่าของเงินแล้ว และเข้าใจว่าต้องมี Mindset ที่มุ่งกำไร พร้อมทั้งรอบคอบในการใช้จ่าย ทุกคนสามารถทำได้ถ้ามีทัศนคติที่ถูกต้อง ที่บ้านจะพูดเสมอ โดยเฉพาะตอนผมยังชอบช้อปปิ้งหรือแต่งตัว คุณยายมักจะสอนว่า ‘ใช้เก่ง ก็ต้องหาให้เก่ง’ ประโยคนี้ฟังดูง่าย แต่ลึกซึ้งมากจริง ๆ”
ในมุมธุรกิจเองก็ไม่ต่างกัน ครอบครัวมักจะเตือนเสมอว่า “ขายได้ ขายได้… แล้วมีกำไรหรือเปล่า?” ไม่ว่าจะเป็นตอนทำ Supercat (แบรนด์อุปกรณ์ทำความสะอาด) หรือช่วงเริ่มต้นธุรกิจอื่น ๆ คำถามนี้คอยย้ำเตือนเสมอว่า ยอดขายที่สูง ไม่ได้หมายความว่าจะมีกำไร
5 ปีผ่านมา ลงทุนอย่างหนักเพื่อสร้างแบรนด์ Circular
ทั้งนี้ จิรโรจน์ กล่าวว่า ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา SC GRAND ลงทุนอย่างหนักในการสร้างแบรนด์ CIRCULAR
“สิ่งแรกที่ต้องเปลี่ยนคือ Culture เราสื่อสารกันทุกวัน มีผู้บริหารรุ่นใหม่เข้ามาเสริม แต่ช่วงแรกก็ลำบากมาก เพราะสิ่งที่เราทำยังใหม่สำหรับเมืองไทย แถมเจอโควิดซ้ำเข้ามาอีก ทุกคนยิ่งกังวลเรื่องการเอาตัวรอด แต่เราก็พิสูจน์ตัวเองเรื่อย ๆ จนถึงปีนี้ ถือเป็นปีแรกที่เราเริ่มยืนได้แล้ว เราใช้วิธีเดิมคือค่อย ๆ หั่นพิซซ่าชิ้นเล็ก ๆ ไปทีละชิ้น ค่อย ๆ สร้างแบรนด์ และค่อย ๆ เปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรไปพร้อมกัน”
ความท้าทายอีกด้านในการสร้างแบรนด์ CIRCULAR คือการต่อสู้กับภาพจำของผู้คนที่มองว่า SC GRAND เป็นเพียงโรงงานผลิตเส้นด้ายตลาดล่างหรือไม้ถูพื้น การสื่อสารและสร้างความเข้าใจจึงเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนภาพลักษณ์และยกระดับแบรนด์
“ผมและทีมงานค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร ผ่านกิจกรรม Town Hall และการนำผู้บริหารรุ่นใหม่เข้ามาเสริมทัพ เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน ตอนนี้เรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ต้องขอบคุณทีมงานมาก ๆ ที่ทุ่มเทกับเรามา 5 ปีเต็ม การสร้างแบรนด์ CIRCULAR ช่วงปี 2020-2022 มันลำบากมาก”
ผลลัพธ์เมื่อแบรนด์เริ่มเป็นที่รู้จัก
จิรโรจน์ เล่าต่อว่า หัวใจของ CIRCULAR คือการเป็นแบรนด์เสื้อผ้าที่ผลิตจาก เส้นใยรีไซเคิล ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าที่ขายไม่ได้ เสื้อผ้าตกรุ่น หรือเศษผ้าเหลือจากการตัดเย็บ โดยร่วมมือกับพาร์ทเนอร์เพื่อนำวัสดุเหล่านี้มาผลิตเป็นผ้าใหม่ ตัวอย่างเช่น การนำ เครื่องแบบเก่าของสายการบินไทย มารีไซเคิลเป็นเสื้อผ้าใหม่ กระบวนการผลิตนี้ช่วยลดขั้นตอนการฟอกย้อม และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยมีความร่วมมือกับ TGO (องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก) อีกทั้งลูกค้ายังสามารถสแกน QR Code เพื่อติดตามผลกระทบในการลด คาร์บอนฟุตพริ้นท์ ได้
และที่ผ่านมาก็มีการพัฒนาอีกหลายตัวร่วมหกับหลากหลายแบรนด์ เช่น Carnival, Yuedpao, kloset ฯลฯ ที่เข้ามาร่วมคอลลาบอเรชั่นตั้งแต่ช่วงแรก การที่แบรนด์เหล่านี้เลือกใช้ผ้าของ SC GRAND หรือส่ง Textile Waste มารีไซเคิลเป็นผ้าใหม่ ช่วยให้คนทั่วไปเห็นว่าแบรนด์ดังของไทยยังใส่ใจสิ่งแวดล้อมและเลือกใช้ผ้ารีไซเคิล แม้ว่าผู้สวมใส่อาจไม่รู้เลยว่าผ้านั้นผลิตจากการรีไซเคิล
ขยับสู่รีไซเคิลฮับ
แม้จะลงทุนไปมาก แต่จิรโรจน์เผยว่า ธุรกิจยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น เพิ่งเริ่มมียอดขายจริงจังในปี 2023 และเริ่มยืนได้มั่นคงในปี 2025 สำหรับอนาคต SC GRAND ตั้งเป้าหมายเป็น Global Brand และกลายเป็น Recycle Hub ในภูมิภาคอาเซียน
ซึ่งหมายความว่าไม่ว่าแบรนด์ใดที่มีโรงงานตัดเย็บในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมีผ้าเหลืออยู่ SC GRAND ต้องการเป็นพันธมิตรในการนำของเสียเหล่านั้นกลับมารีไซเคิลเป็นผ้าใหม่ พร้อมเปิดโอกาสร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลกเพื่อพัฒนาการรีไซเคิลอย่างต่อเนื่อง
จิรโรจน์ยังทิ้งท้ายด้วยข้อคิดสำคัญว่า ถ้าเราอยากทำสิ่งใดจริง ๆ และตั้งใจอย่างแท้จริง มันย่อมหาทางออกจนสำเร็จได้
"แม้ผมเองยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและไม่เก่งอะไร แต่จากประสบการณ์ที่ผิดพลาดมาเยอะ ทั้งเพราะมั่นใจตัวเองเกินไป ใจร้อนเกินไป และเคยใช้เงินลงทุนอย่างบ้าระห่ำ ผมก็อยากแชร์ว่า สิ่งสำคัญคืออย่าไว้ใจใครมากเกินไป และทุกอย่างต้องมีระบบระเบียบรองรับเสมอ" เขากล่าวทิ้งท้าย


