ตัวเงินตัวทองขึ้นแท่นสัตว์เศรษฐกิจ บุกตลาดเครื่องหนัง 7.6 พันล.
ชี้ข้อดีเหนือวัว-ควาย เหตุปล่อยมีเทนน้อย ทำให้คาร์บอนฟุตพริ้นท์ต่ำกว่า เผยตลาดสำคัญตลาดเครื่องหนัง รองลงมาผลิตภัณฑ์ยา และ เนื้อเพื่อการบริโภค
ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า จากการที่คณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าเพิ่มรายการ ตัวเงินตัวทอง ให้ผู้ได้รับอนุญาตสามารถเพาะพันธุ์ได้ โดยต้องซื้อพ่อแม่พันธุ์จากกรมอุทยานฯ ในราคาตัวละ 500 บาท นั้น เป็นการเปิดช่องทางให้ ตัวเงินตัวทอง สามารถสร้างมูลค่าเชิงพาณิชย์ได้ในอนาคต
ทั้งนี้ ตัวเงินตัวทอง มีศักยภาพในด้านเศรษฐกิจได้แก่ ผลิตภัณฑ์หนัง เนื้อเพื่อการบริโภค รวมทั้งพัฒนาต่อยอดเพิ่มมูลค่าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ โดยในกลุ่มผลิตภัณฑ์หนังที่ในปี 2024 ไทยมีมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์หนังแปรรูปทุกประเภทรวมประมาณ 7,554 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าหนังตัวเงินตัวทองสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากกว่าหนังวัว/ควาย โดยมีราคาเฉลี่ยราว 4,200 – 14,000 บาทต่อตารางเมตร
ที่สำคัญ ตัวเงินตัวทอง ยังเป็นสัตว์ที่ไม่มีการปล่อยมีเทนจากการย่อยอาหาร แตกต่างจากวัว/ควาย ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้สูงถึง 1.4 – 3.4 ล้านตันต่อตัวต่อปี ซึ่งอาจจะมีส่วนช่วยให้ผลิตภัณฑ์หนังจากตัวเงินตัวทองในอนาคตมีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ต่ำลงกว่าผลิตภัณฑ์หนังประเภทอื่นๆ
เมื่อดูสถานะการอนุญาตการค้าและผลิตภัณฑ์จากตัวเงินตัวทองในประเทศต่างๆทั่วโลก พบว่า
ไทย
-ยังอนุญาตเฉพาะกรณีการเพาะเลี้ยง
มาเลเซีย
-อนุญาตการเพาะเลี้ยง และ ผลิตตามกฎหมาย
อินโดนีเซีย
-กำหนดโควต้าจับและส่งออกได้ ภายใต้ข้อกำหนด CITES (อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์)
สหรัฐ/สหภาพยุโรป
-อนุญาตนำเข้าได้หากมีใบอนุญาต CITES
จีน/ออสเตรเลีย
-ไม่อนุญาต


