สุวิทย์ กิ่งแก้ว แนะ SME ยุคนี้ อยู่เฉยไม่รอดต้องวิ่งหาลูกค้าถึงบ้าน
SME อยู่เฉยไม่ได้แล้ว ดร.สุวิทย์ กิ่งแก้ว นายกสมาคมการค้าปลีกและเอสเอ็มอีทุนไทย แนะต้องรุกตลาด หาลูกค้าถึงบ้าน สร้างแบรนด์ เพิ่มยอดขายถึงจะอยู่รอดในยุคนี้
ดร.สุวิทย์ กิ่งแก้ว นายกสมาคมการค้าปลีกและเอสเอ็มอีทุนไทย กล่าวในงานเสวนา พลิกวิกฤตสงครามการค้า สู่โอกาสใหม่ SMEs ไทย เติบโตยั่งยืน ว่า การประกอบธุรกิจทุกวันนี้ การยืนอยู่เฉย ๆ แทบเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการ SME ที่จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์เพื่อให้สามารถอยู่รอดและแข่งขันได้ในตลาด
หากมองในระดับมหภาคเราคงต้องขยายไปอีกขั้น คือ นอกจากการเพิ่ม Productivity แล้วยังต้องให้ความสำคัญกับการเพิ่ม Marketplace หรือการเปิดช่องทางตลาดใหม่ ๆ ด้วย
ในอดีต เราอาจมีโรงงานหรือหน้าร้าน แล้วรอลูกค้าเดินเข้ามาเอง แต่ในยุคปัจจุบัน การนั่งรออยู่กับที่ไม่เพียงพออีกต่อไป ธุรกิจต้อง 'ออกไปหาลูกค้า' ไม่ว่าจะเป็นการไปถึงบ้านหรือที่ทำงานของลูกค้าโดยตรง
การเพิ่มช่องทางการขายจึงเป็นเรื่องจำเป็น เช่น หากเคยขายเฉพาะหน้าร้านหรือออนไลน์ช่องทางเดียว ก็ต้องพิจารณาขยายไปยังแพลตฟอร์มใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นขายผ่านร้านสะดวกซื้อ ร้านของฝาก ปั๊มน้ำมัน หรือช่องทางค้าปลีกอื่น ๆ ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น
หาตลาดใหม่ คือทางรอด SME
ดร.สุวิทย์ กล่าวต่อว่า SME หลายรายที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน ต่างก็มีการใช้กลยุทธ์การตลาดที่หลากหลายมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ร้านเจ๊แดง ขายส้มตำหมูย่าง ที่ตลาดสามย่าน หลังมีอินฟลูเอนเซอร์รายหนึ่งมาแนะนำ ทำให้มีลูกค้ามาใช้บริการมากขึ้น จนในที่สุดต้องขยายเพิ่มอีกหลายสาขา นี่คือสิ่งที่เอสเอ็มอีต้องนำไปพิจารณาและหาช่องทางให้พบ
จากตัวอย่างสะท้อนให้เห็นว่า การหา 'ตลาดใหม่' และ 'ช่องทางใหม่' คือหัวใจสำคัญของการอยู่รอดและเติบโตของ SME ในยุคนี้ เพื่อสร้างการรับรู้ และเพิ่มยอดขาย สิ่งสำคัญอีกเรื่องที่อยากเน้นคือ ปัจจุบันการขายสินค้าเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะหากความนิยมของลูกค้าหมดไป ก็อาจส่งผลกระทบต่อยอดขายทันที
ขอยกตัวอย่างร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ตอนแรกขายแค่กาแฟอย่างเดียว หลายคนอาจสงสัยว่าจะอยู่รอดหรือไม่ แต่เจ้าของร้านขยายเมนู เริ่มจากขนมปังปิ้ง แล้วต่อยอดไปถึงปลาท่องโก๋ ชาเย็น สมูทตี้ ครัวซองต์ และเค้กต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้ยอดขายเติบโตขึ้น และร้านสามารถอยู่รอดได้ในระยะยาว
ดังนั้น กลยุทธ์ที่สำคัญคือ ไม่ควรพึ่งพิงเพียงสินค้ารายการเดียว ควรมีสินค้าเสริมที่สามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าได้หลากหลายขึ้น
อีกประเด็นที่อยากเน้นคือ 'คุณภาพ' โดยเฉพาะรสชาติของสินค้า หลายแบรนด์อาจเริ่มต้นได้ดี แต่ไปไม่รอดในระยะยาวเพราะละเลยเรื่องคุณภาพ เช่น การเปลี่ยนวัตถุดิบที่ทำให้รสชาติเปลี่ยนไป ส่งผลให้ลูกค้าไม่กลับมาซื้อซ้ำ เพราะฉะนั้น การรักษาคุณภาพให้คงที่คือปัจจัยสำคัญในการสร้างความยั่งยืนของธุรกิจ
“ผมอยากฝากไว้เป็นข้อคิดว่า หากใครจะเข้าสู่ธุรกิจบริการ หรือแม้แต่ผลิตสินค้าอะไรก็ตาม เรื่องของคุณภาพ โดยเฉพาะ ‘ความสม่ำเสมอ’ ในคุณภาพถือเป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้”
แรงกระแทกถาโถม SME ไทย: จากสงครามการค้าสู่สินค้าจีนทะลักเข้าไทย
ดร.สุวิทย์ กล่าวอีกว่า สถานการณ์ปัจจุบันของผู้ประกอบการไทย “เหมือนกับอยู่ในสงคราม” โดยเฉพาะ SME ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการทางการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่กระทบต่อสินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม
แรงกระแทกทางตรง : สินค้าส่งออกของไทยที่ได้รับผลกระทบ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ถุงมือยาง อาหารและเกษตรแปรรูป โดยเฉพาะข้าวสารไทย น้ำปลา กุ้งแห้ง ที่เคยตีตลาดอเมริกาได้ดี ขณะนี้อาจต้องเผชิญข้อจำกัดหรือความไม่แน่นอนจากมาตรการกีดกันทางการค้า
แรงกระแทกทางอ้อม : เมื่อสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ ถูกปฏิเสธหรือขายไม่ออก สินค้าบางส่วนจึงถูกระบายกลับเข้ามาในตลาดไทย รวมถึงสินค้าราคาถูกจากจีนที่ทะลักเข้ามาแข่งขันโดยตรงกับผู้ผลิตไทย โดยเฉพาะกลุ่ม SME ที่ไม่สามารถสู้ราคาได้ เช่น สินค้าเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพที่ผลิตในจีนแต่แบรนด์ดูเหมือนของต่างประเทศ
ผลกระทบต่อกำลังซื้อในประเทศ : เมื่อยอดขายส่งออกหดตัว รายได้ของผู้บริโภคก็ลดลง ส่งผลให้ SME ต้องแข่งขันกันอย่างหนักในตลาดภายในประเทศ ขณะเดียวกัน ร้านค้าของคนจีนที่เข้ามาตั้งในไทย พร้อมสินค้าราคาต่ำจำนวนมาก ก็กำลังเปลี่ยนภูมิทัศน์การค้าแบบดั้งเดิม เช่น ตลาดโบ๊เบ๊ ถูกแทนที่ด้วย “หมู่ตึก” ซึ่งกลายเป็นแหล่งค้าส่งสินค้าแฟชั่นราคาประหยัด ทำให้ SME ไทยจำนวนมากค่อย ๆ หายไปจากระบบเศรษฐกิจ
ดังนั้นทางออกคือ สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความจำเป็นที่ SME ไทยต้องปรับตัวเร่งด่วน โดยการรวมกลุ่มของสมาคมต่าง ๆ รวมถึงความร่วมมือจากเอกชน เช่น 7-Eleven ที่จัดงานเพื่อช่วยส่งเสริมและประคับประคอง SME ให้สามารถรับมือกับแรงกระแทกทางเศรษฐกิจที่ถาโถมเข้ามาจากทุกทิศทาง


