posttoday

จากเด็กนอกเงินเดือนหลักล้าน สู่เจ้าของโรงงานขนม ส่งออกทั่วโลก

30 กรกฎาคม 2568

สุวิมล สิระนาท: จากสาวไฟแนนซ์เงินเดือน 5 ล้าน สู่เจ้าของโรงงานขนมขบเคี้ยว 400 ล้าน ทิ้งชีวิต “เด็กนอก” หันหลังให้บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างชาติ

KEY

POINTS

  • สุวิมล สิระนาท อดีตนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวง ตัดสินใจลาออกจากงานด้านการเงินในสหรัฐฯ รายได้หลักล้าน กลับบ้านเกิด
  • ก่อตั้งโรงงานเพื่อแปรรูปข้าวหอมมะลิและธัญพืชไทยเป็นขนมขบเคี้ยว เพิ่มมูลค่าให้สินค้าเกษตรและช่วยเหลือเกษตรกร
  • ธุรกิจประสบความสำเร็จ สร้างยอดขายกว่า 300 ล้านบาท ส่งออกสินค้าไปยัง 40 ประเทศ

"เราใช้เงินภาษีคนไทยไปเรียนต่างประเทศ แต่กลับมานั่งโต๊ะทำงานช่วยบริษัทต่างชาติสร้างกำไร มันใช่หรือ?"

 

คำถามที่ สุวิมล สิระนาท หรือ เมนี่ ตั้งกับตัวเองเมื่อ 10 ปีก่อน ขณะที่เธอกำลังทำงานให้กับบริษัทการเงินยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกา หลังจากจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด

 

แม้ในสายตาคนภายนอก อาชีพในแวดวงการเงินของเธอดูมั่นคงและประสบความสำเร็จ แต่ภายในใจของเมนี่กลับรู้สึกว่า นี่ไม่ใช่เส้นทางที่แท้จริง ความคิดนี้เองที่ผลักดันให้เธอตัดสินใจกลับมายังบ้านเกิด และเริ่มต้นธุรกิจโรงงานขนมขบเคี้ยว ซึ่งไม่เพียงสร้างความสำเร็จให้กับตัวเธอเองเท่านั้น แต่ยังสร้างประโยชน์อย่างมหาศาลให้กับเกษตรกรไทยอีกด้วย

 

เด็กหัวกะทิ คว้าทุนเล่าเรียนหลวง 

 

เมนี่ เล่าให้โพสต์ทูเดย์ฟัง เมื่อครั้งที่บริษัท เติมเนเจอร์ อินดัสตรี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทของเธอได้รางวัล  “Bai Po Business Awards by Sasin” ครั้งที่ 20 เพื่อเชิดชูเกียรติ 6 ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยต้นแบบที่สามารถสร้างความแตกต่างในธุรกิจ

 

เธอเป็นนักเรียนจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ก่อนจะคว้าทุนเล่าเรียนหลวงไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรีและโทด้านเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา เธอเรียนจบภายในเวลาเพียง 3 ปี และเริ่มต้นทำงานในสาย Investment Banking ที่พาโลอัลโต สหรัฐอเมริกา ด้วยเงินเดือนสูงถึงปีละ 5 ล้านบาท 
 

 

 

“เราเอาเงินภาษีจากประเทศไทยมาเรียน แล้วกลับมานั่งโต๊ะช่วยต่างชาติสร้างกำไร มันใช่หรือ นี่คือประโยคที่ติดอยู่ในหัวของเรา ก็เลยอยากกลับมาทำอะไรให้บ้านเกิดบ้าง จึงตัดสินใจครั้งใหญ่ในวัย 21 ปี ลาออกจากงานและกลับเมืองไทยโดยยังไม่มีแผนชีวิตที่ชัดเจนว่าจะทำอะไร”

 

อยากพาข้าวหอมมะลิแปรรูป วางขายในต่างประเทศ 

 

แต่เมื่อกลับมาถึงเมืองไทย เมนี่รู้เพียงอย่างเดียวว่าเธออยากทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ จึงนึกถึงของดีบ้านเกิด เธอนึกถึงสินค้าเกษตร และตั้งใจอยากนำไปขายต่างประเทศ โดยไม่แย่งตลาดในประเทศกับเกษตรกร

 

เริ่มต้นจากการมองหาสินค้าเกษตรที่มีศักยภาพ และ "ข้าวหอมมะลิ" หรือที่ต่างชาติเรียกว่า Jasmine rice คือคำตอบ เพราะเป็นที่รู้จักระดับโลกและเป็นพืชที่ปลูกได้ทุกภาคในประเทศไทย แต่ ณ ตอนนั้นเกษตรกรไทยประสบปัญหากับราคาข้าวตกต่ำ เธอจึงเห็นโอกาสในการแปรรูปข้าวเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและส่งออก 


“เราลงทุนซื้อเครื่องจักรเล็ก ๆ เป็นเครื่องเป่าที่ทำให้ขนมพองออกมาตั้งไว้หลังบ้าน และเริ่มทดลองแปรรูปข้าวเป็นขนมกับแม่บ้าน ขับรถไปส่งของเองตามตลาดนัดทำเลโรงเรียน ลองผิดลองถูกอยู่หลายเดือน ฟังคำติชมจากลูกค้าโดยตรง ทั้งเรื่องรสชาติและบรรจุภัณฑ์ นำมาปรับปรุงแก้ไข แม้จะไม่มีพื้นฐานด้านอาหารหรือเทคโนโลยีการแปรรูปเลยก็ตาม”
 

 

แต่โชคชะตาพาให้เมนี่ได้สิทธิ์เข้าร่วมงาน ThaiFex โดยบังเอิญ แม้จะเตรียมตัวแทบไม่ทัน แต่เธอก็ใช้โอกาสนี้ในการพูดคุยกับลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าต่างชาติ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก ทำให้เธอเข้าใจความต้องการของตลาดต่างประเทศอย่างลึกซึ้ง จากนั้นเธอก็ออกงานแฟร์อย่างต่อเนื่อง ปรับปรุงสูตรขนม และตระหนักว่าการส่งออกสินค้าไม่ได้มีแค่เรื่องรสชาติ แต่ต้องมีมาตรฐานโรงงานที่เข้มงวด 

 

ขอทุนพ่อแม่สร้างโรงงาน OEM 

 

เธอจึงตัดสินใจสร้างโรงงานจริงจังบนพื้นที่ 8 ไร่ ที่บางกระเจ้า โดยใช้งบประมาณราว ๆ 400 ล้านบาท พร้อมกับตั้งบริษัท เติมเนเจอร์ อินดัสตรี้ จำกัด 

 

“การสร้างโรงงานมูลค่ากว่า 400 ล้านบาทไม่ใช่เรื่องง่าย ทุนก้อนใหญ่นี้มาจากครอบครัว ที่เราต้องโน้มน้าวพ่อแม่ที่กังวล ในฐานะลูกสาวคนหนึ่งที่ไม่มีพื้นฐานอะไรเลยนอกจากความฝัน เราไม่มีความรู้เรื่องเกษตรเลย เรื่องโปรดักชันก็ไม่มี แบรนดิ้งก็ไม่รู้ รู้แค่เรื่องการเงิน เพราะเรียนด้านไฟแนนซ์กับเศรษฐศาสตร์มา วันเซ็นสัญญาก่อสร้าง คุณพ่อพูดว่า ‘สัญญากับป๊าได้ไหม ว่าถ้าวันหนึ่งมีปัญหา เราจะไม่ทิ้งมัน’ เราก็แบบ...อืม...ด้วยความที่ไม่รู้ เราก็สัญญาไปแบบนั้นแหละ แต่คำพูดนั้นกลายเป็นเหมือน ‘เส้นขีดในใจ’ ทุกครั้งที่เจอปัญหา ต้องกัดฟันทำต่อ เพราะมันคือสิ่งที่เรารับปากคุณพ่อไว้แล้ว”

 

ข้าวเป็น Core Product พัฒนา 2 แบรนด์ ตีตลาด

 

เมนี่เริ่มต้นธุรกิจด้วยการรับจ้างผลิต (OEM) เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงและลดความเสี่ยงจากการทำตลาดในระยะแรก ระหว่างนั้นก็ค่อยๆ พัฒนาแบรนด์ของตัวเองอย่างเงียบๆ ใช้เวลาเกือบ 2 ปีกว่าจะเป็นรูปเป็นร่าง จนปัจจุบันเธอบอกว่ามี 2 แบรนด์หลัก ๆ คือ Grinny ที่เน้นขนมสอดไส้สำหรับร้านค้าทั่วไป และ O Puff ที่เน้นขนมอบขายใน 7-Eleven โดยเน้นจุดขายที่ 'อร่อย คุ้ม ไม่ทอด' โดยให้ความสำคัญกับการตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง 

 

แม้ว่า ข้าว จะยังคงเป็นหัวใจหลักของผลิตภัณฑ์ เมนี่บอกว่า ได้ขยายไลน์สินค้าไปสู่ธัญพืชหลากหลายชนิด เช่น ข้าวโพด ข้าวแดง และข้าวไรซ์เบอร์รี่ เพื่อนำไปต่อยอดเป็นขนมรูปแบบต่างๆ ทั้งขนมสำหรับเด็ก ขนมสำหรับวัยรุ่น เวเฟอร์ และช็อกโกแลต โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ ขนมเด็ก มุ่งเน้นการสร้างสรรค์ขนมที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ไม่ได้เป็นแค่ขนมกินเล่น ยกตัวอย่างเช่น พัฒนาสูตรที่ละลายง่ายสำหรับเด็กเล็กที่เหงือกกำลังขึ้น หรือเติมพรีไบโอติกเพื่อช่วยแก้ปัญหาท้องผูก รวมถึงเสริมแคลเซียมและวิตามินต่างๆ โดยยังคง รักษาระดับราคาเดิม ไว้ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่ดีและมีประโยชน์ได้ง่าย

 

เธอเล่าอีกว่า ปัจจุบันบริษัทรับผลิต OEM และมีแบรนด์ตัวเอง สัดส่วน 50 : 50 มีกำลังการผลิตสินค้าแบบซองได้มากถึง 1 ล้านซองต่อวัน ซึ่งนับเป็นปริมาณที่มหาศาล เนื่องจากมีสินค้าหลากหลายชนิด ปริมาณรวมของสินค้าสำเร็จรูป (Finished Goods) ต่อเดือนอยู่ที่ระหว่าง 500 – 1,000 ตัน ขึ้นอยู่กับแต่ละสายการผลิต

 

จากเด็กนอกเงินเดือนหลักล้าน สู่เจ้าของโรงงานขนม ส่งออกทั่วโลก

 

“ผลิตภัณฑ์ของเราส่วนใหญ่ใช้วัตถุดิบจาก เกษตรกรไทย โดยเฉพาะข้าว ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักถึง 60–70% ของทั้งหมด เรามีการสั่งซื้อข้าวในปริมาณสูงถึง 500 ตันต่อเดือน และธัญพืชอื่นๆ เช่น ข้าวโพด หรือถั่ว 5 สี อยู่ที่ประมาณ 80–100 ตันต่อเดือน เราภูมิใจเป็นอย่างมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนเกษตรกรไทยอย่างต่อเนื่อง จากการเริ่มต้นซื้อเพียง 100 กิโลกรัม วันนี้เราสามารถซื้อวัตถุดิบได้หลายร้อยตันต่อเดือน”

 

รายได้แตะ 300 ล้านบาท

 

ทั้งนี้ เมนี่บอกว่า ปัจจุบัน บริษัทของเมนี่กำลังเข้าสู่ปีที่ 10 มี ยอดขายล่าสุดแตะ 300 กว่าล้านบาท และเติบโตแบบ 'ดับเบิ้ลทุกปี' สินค้าของเธอถูกส่งออกไปแล้วกว่า 40 ประเทศทั่วโลก 

 

เมนี่เล่าว่า ผู้เล่นส่วนใหญ่ในตลาดมักเริ่มส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้าน แต่แบรนด์ของเธอเลือกเริ่มที่เนเธอร์แลนด์ทันที ด้วยขนมข้าวไส้มะม่วง ทุเรียน และชาไทย ซึ่งสะท้อนอัตลักษณ์ความเป็นไทยได้ชัดเจน และได้รับการตอบรับที่ดี ราวกับเป็นจุดเช็กพอยต์ว่า 'มาถูกทาง'

 

คู่แข่งขันหลักของบริษัทจะเป็นผู้เล่นจากต่างประเทศ เช่น จีน และประเทศมหาอำนาจ ซึ่งด้วยความที่บริษัทมีจุดเด่นของสินค้าเกษตรของไทยที่ใครก็ลอกเลียนแบบไม่ได้ บวกกับการนำมาแปรรูป บริษัทก็เพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วยการใช้กลยุทธ์ราคา Competitive Price ที่ยังสามารถต่อสู้กับสินค้าต่างประเทศได้ แม้อาจจะมีเกิดการถล่มราคาจากฝั่งของจีน แต่ด้วยความที่บริษัทใช้วัตถุดิบที่มีเอกลักษณ์และมีคุณภาพ จึงยังเป็นจุดแตกต่างที่ทำให้บริษัทสามารถยืนอยู่และเติบโตได้ สิ่งสำคัญคือการพยายามกระจายความเสี่ยง ยิ่งขึ้นเรือลำใหญ่ ยิ่งต้องระมัดระวังมากขึ้น 

 

จากเด็กนอกเงินเดือนหลักล้าน สู่เจ้าของโรงงานขนม ส่งออกทั่วโลก

 

ความท้าทายมาทุกทิศทาง

 

ตอนแรก ๆ โดนดูถูกเยอะทั้งในแง่ภาพลักษณ์ของเด็กนักเรียนทุนที่ส่วนใหญ่จะมีงานดี ๆ ทำที่ต่างประเทศ แต่การที่เราลาออกจากงานธนาคารที่อยู่ในโซนซิลิคอนวัลเลย์ แล้วมาขายขนม ทำให้บางคนมองว่าเราไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต เลยต้องกลับมาอยู่ไทย ซึ่งเราเองก็ต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี ในการเริ่มเรียนรู้ใหม่เกี่ยวกับงานธุรกิจผลิตขนม แต่จนถึงวันนี้ก็นับเป็น 10 ปีแล้ว มันก็ช่วยสะท้อนความสำเร็จของเรา แต่ต้องยอมรับอีกว่า ธุรกิจอาหารแข่งขันสูงมาก ทั้งจากปัจจัยภายนอก เช่น ต้นทุนวัตถุดิบ ค่าแรง ค่าขนส่ง ไปจนถึงเรื่องราคาขายที่ถูกบีบจากทุกช่องทาง

 

ธุรกิจคือ เกมที่ไม่มีวันจบ

 

เมนี่เชื่อว่าความสำเร็จของเธอเกิดจากการ 'เป็นคำตอบของลูกค้า' เธอรับฟังปัญหาของลูกค้าอย่างเข้าใจและหาทางแก้ไขให้ได้เสมอ ทำให้ลูกค้ากลายเป็นเหมือนเพื่อนและครอบครัวที่พร้อมจะแบ่งปันปัญหา เพื่อให้เธอนำมาปรับปรุงผลิตภัณฑ์อยู่เสมอ นอกจากนี้เธอยังให้ความสำคัญกับการสร้างทีมงาน 300 คน ปั้นคนจากศูนย์ โดยพนักงานส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ยเพียง 20 กว่าปี และเป็นคนไทย 100% ซึ่งสะท้อนความตั้งใจที่จะเติบโตไปพร้อมกับบุคลากรในประเทศ

 

“เรามองว่าการทำธุรกิจคือ ‘เกมที่ไม่มีวันจบ’ ปัญหาจะมีทุกวัน แต่คนที่ ‘ไม่หยุด’ คือ ‘ผู้ชนะ’ เราไม่อยากเร่งโตแบบหวือหวา หลายคนอาจตั้งเป้าเข้าตลาดหุ้น แต่สำหรับเราอยากเน้นที่ความมั่นคงและยั่งยืนมากกว่า เพื่อพิสูจน์ว่าบริษัทไทยที่สร้างจากศูนย์ ก็สามารถอยู่ในตลาดได้ด้วยความยั่งยืน"


 

ข่าวล่าสุด

ราชกิจจาฯ ออกกฎใหม่ ปรับเพดานค่าจ้าง ม.33 สูงสุด 23,000 บาท