NIA เผย 2 กฎหมายดันสตาร์ทอัพ สู่ยูนิคอร์น คาดเสร็จสิ้นปี 68
“กริชผกา” ผอ. NIA เผยความคืบหน้าร่างกฎหมายสตาร์ทอัพ -ร่างพ.ร.ก.การจัดตั้งสำนักงานฯคาดเสร็จภายในสิ้นปีนี้ พร้อมเดินหน้าเป็นศูนย์กลางข้อมูลและเงินทุน ผุดยูนิคอร์น 2 ตัว ภายใน 3 ปี
นางสาวกริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวถึงความคืบหน้าร่าง “พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพ (กฎหมายสตาร์ทอัพ) กับ โพสต์ทูเดย์ ว่า ขณะนี้น่าจะอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของสำนักงานกฤษฎีกา คาดว่าน่าจะเสร็จภายในปีนี้
สำหรับสาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ คือ การบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่สร้างหน่วยงานใหม่ แต่กำหนดให้ NIA เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลสตาร์ทอัพตั้งแต่ต้น และกำหนดกลไกให้หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ร่วมกันส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพ รวมถึงกำหนดให้สิทธิและประโยชน์ที่จะช่วยส่งเสริมการประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพให้เติบโตยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ NIA ต้องการผลักดันให้เกิดสตาร์ทอัพที่จดทะเบียนในประเทศเพิ่มขึ้น เนื่องจากกฎหมาย และเงินทุนไม่เอื้อต่อสตาร์ทอัพไทย ทำให้สตาร์ทอัพไทยไม่เติบโตเท่ากับสตาร์ทอัพต่างชาติ เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ สตาร์ทอัพไทยจะมีข้อมูลกลาง ทั้งเรื่องข้อมูลเงินทุน โครงการสนับสนุน เพื่อให้เกิดการลงทุนในสตาร์ทอัพเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เพื่อสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการสร้างสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นที่มีมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ เกิดขึ้น 2 ราย ภายใน 3 ปี
ขณะเดียวกัน NIA เอง ก็มีการดำเนินการแก้ พ.ร.ก.การจัดตั้งสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) มาตรา 8 (6) การเข้าร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่น ซึ่งปัจจุบัน NIA ไม่สามารถให้เงิน หรือ เข้าไปถือหุ้นในบริษัทนิติบุคคลอื่นได้ โดยจะแก้ไขให้สามารถทำได้ เพื่อให้ NIA สามารถสนับสนุนเงินทุนหรือเข้าไปถือหุ้นกับบริษัทสตาร์ทอัพได้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาแก้ไขจาก สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) จากนั้นจึงนำเข้าสู่การพิจารณาในคณะรัฐมนตรี (ครม.)
สำหรับรูปแบบการลงทุนที่มองไว้ และมีความเป็นไปได้ว่าจะทำคือการลงทุนในลักษณะการนำทรัสต์มาใช้ในการจัดตั้งกิจการเงินร่วมลงทุน Private Equity Trust หรือ PE Trust ซึ่งการลงทุนดังกล่าวเป็นช่องทางการระดมทุนสำหรับธุรกิจเกิดใหม่ ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ธุรกิจที่ต้องอาศัยนวัตกรรมทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้มีโอกาสได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจากผู้ลงทุนที่สนใจ
ข้อดีของการจัดตั้งเป็นทรัสต์ คือสามารถคืนเงินลงทุนให้แก่ผู้ลงทุนได้คล่องตัวกว่าการจัดตั้งในรูปแบบบริษัท เนื่องจากมีโครงสร้างภาษีไม่ซ้ำซ้อน เมื่อทรัสต์รับเงินได้มาจะไม่ต้องเสียภาษี แต่จะส่งผ่านเงินได้ดังกล่าวให้แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ซึ่งจะเสียภาษีต่อไป รูปแบบนี้จะทำให้ NIA ลงเงินบางส่วนและต้องได้เงินคืน ไม่ขาดทุนแน่นอน ด้วยการทำงานของมืออาชีพ
สำหรับที่มาของการทำกฎหมายสตาร์ทอัพ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่า ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2564 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สำนักงานฯ) ได้รับหนังสือจากคณะกรรมการร่วมสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เสนอขอให้ทบทวนและปรับปรุงกฎหมายเพื่อลดขั้นตอนการอนุญาตที่ไม่จำเป็น ลดอุปสรรคในการประกอบอาชีพและการดำเนินธุรกิจของประชาชน โดยมีข้อเสนอประการหนึ่ง คือ การแก้ไขบทบัญญัติเกี่ยวกับหุ้นที่กำหนดในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อลดอุปสรรคในการประกอบธุรกิจและส่งเสริมสตาร์ทอัพ
และสำนักงานฯ ได้เสนอเรื่องต่อคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย ซึ่งมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน และคณะกรรมการพัฒนากฎหมายเห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าวโดยเสนอแนวทางการปรับปรุงกฎหมายไปยังนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) และได้มีบัญชามอบหมายคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการปรับปรุงกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน หรือหากมีความจำเป็นให้จัดทำร่างกฎหมายใหม่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ด้วยเหตุดังกล่าว
ในปี พ.ศ. 2565 คณะกรรมการพัฒนากฎหมายจึงได้มีคำสั่งแต่งตั้ง “คณะอนุกรรมการศึกษาแนวทางการปรับปรุงหลักการเกี่ยวกับการกำกับดูแลและส่งเสริมธุรกิจ Startup” (คณะอนุกรรมการฯ) โดยมี รศ.สุดา วิศรุตพิชญ์ เป็นประธาน พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิและบุคลากรของสำนักงานฯ เป็นอนุกรรมการฯ เพื่อศึกษาและเสนอแนวทางการปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคและจัดทำร่างกฎหมายเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีปัจจุบัน (นายเศรษฐา ทวีสิน) เห็นความสำคัญของสตาร์ทอัพต่อเนื่องจากรัฐบาลชุดที่แล้ว โดยได้กล่าวถึงการส่งเสริมการลงทุนในสตาร์ทอัพไว้ในคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา เมื่อวันจันทร์ที่ 11 ก.ย. 2566
แนวทางการดำเนินการ
คณะอนุกรรมการฯ ได้ศึกษาข้อมูลปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญในการประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพในประเทศไทย โดยรับฟังความคิดเห็นจากผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมสรรพากร สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
รวมถึง สำนักงาน ก.ล.ต. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย สมาคมไทยผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นอกจากนี้ยังมีบริษัทที่ปรึกษากฎหมายและผู้ประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพ และนำข้อคิดเห็นดังกล่าวมาศึกษาเปรียบเทียบกับมาตรการและแนวทางของต่างประเทศที่อาจนำมาปรับใช้ในประเทศไทยได้ เช่น อเมริกา อังกฤษ สิงคโปร์ อิตาลี อินเดีย อินโดนีเซีย สเปน เพื่อนำมาประกอบการพิจารณายกร่างกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพ
คณะอนุกรรมการฯ ได้เสนอผลการศึกษาต่อคณะกรรมการพัฒนากฎหมายแล้ว จำนวน 2 ครั้ง และคณะกรรมการพัฒนากฎหมายได้มีมติเห็นชอบให้คณะอนุกรรมการฯ จัดทำร่างกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาหรืออุปสรรคของธุรกิจสตาร์ทอัพ ภายใต้หลักการสำคัญ 3 ข้อ คือ
(1) ให้เน้นการปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการบริหารจัดการองค์กรธุรกิจและการระดมทุนก่อน แล้วจึงขยายไปสู่การปรับปรุงกฎหมายในประเด็นอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพต่อไป
(2) ร่างกฎหมายที่จะเสนอจะต้องไม่สร้างคณะกรรมการหรือหน่วยงานขึ้นใหม่ เพื่อมิให้เพิ่มภาระแก่ผู้ประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพ แต่ต้องเน้นการขจัดอุปสรรคในการประกอบธุรกิจให้มากที่สุด เช่น อาจยกเว้นการปฏิบัติตามกฎหมายบางเรื่องที่เป็นอุปสรรคให้กับธุรกิจสตาร์ทอัพที่ควรได้รับการส่งเสริม
(3) ควรกำหนดลักษณะหรือนิยามของธุรกิจ Startup ที่จะได้รับประโยชน์จากกฎหมายให้กว้างขวาง และอาจนำระบบการขึ้นทะเบียนอย่างง่ายหรือการให้ธุรกิจ Startup รับรองตนเอง ที่มีการใช้ในต่างประเทศมาปรับใช้เพื่อลดภาระในการปฏิบัติตามกฎหมายหรือการขอรับการส่งเสริมของผู้ประกอบการ
ในขณะนี้ คณะอนุกรรมการฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพ พ.ศ. .... โดยดำเนินการตามแนวทางที่คณะกรรมการพัฒนากฎหมายให้ไว้ กล่าวคือ ไม่สร้างหน่วยงานใหม่ แต่กำหนดให้สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลสตาร์ทอัพตั้งแต่ต้น และกำหนดกลไกให้หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น
สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ร่วมกันส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพ รวมถึงกำหนดให้สิทธิและประโยชน์ที่จะช่วยส่งเสริมการประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพให้เติบโตยิ่งขึ้น


