'หมี' คำแห่งปี 2025 ของญี่ปุ่น! เมื่อ ‘โลกร้อน’ เลวร้ายกว่าที่คิด
ทำไม 'หมี' หรือ 'คุมะ' จึงถูกรับเลือกให้เป็นคำแห่งปี 2025 ของประเทศญี่ปุ่น สิ่งนี้บอกถึงปัญหา 'โลกร้อน' ที่มาเคาะหน้าประตูบ้านของมนุษย์
KEY
POINTS
- คำว่า 'หมี' กลายเป็นตัวเต็งคำแห่งปี 2025 ของญี่ปุ่น เพื่อสะท้อนวิกฤตหมีบุกรุกและทำร้ายมนุษย์ที่รุนแรงเป็นประวัติการณ์
- สาเหตุหลักของปรากฏการณ์นี้มาจากภาวะโลกร้อนที่ทำให้แหล่งอาหารในป่าขาดแคลนและรบกวนวงจรการจำศีล บีบให้หมีต้องออกมาหาอาหารในเขตชุมชน
- การเลือกคำนี้เป็นสัญลักษณ์เตือนว่าวิกฤตสภาพภูมิอากาศไม่ใช่ปัญหาไกลตัว แต่ได้กลายเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อความปลอดภัยในชีวิตประจำวันและเรียกร้องให้มนุษย์จริงจังกับการแก้ไขปัญหา 'ภาวะโลกร้อน'
ทุกสิ้นปี สังคมญี่ปุ่นจะจับตาดูการประกาศ ‘คันจิแห่งปี' ซึ่งมักจะเป็นการเลือกคำที่สะท้อนภาพรวมของเหตุการณ์ทางสังคมและการเมือง!
อย่างในปี 2024 คำว่า ‘ภาษี’ ถูกรับเลือก เพราะการขึ้นภาษีและการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาล ย้อนหลังกว่า 10 ปีคำที่ถูกเลือกมักจะเป็น ‘นามธรรม’ หรือคำสำคัญๆ
ทว่าในปี 2025 นี้ คำที่ดูเรียบง่ายและน่ารักอย่าง 'หมี' หรือ 'คุมะ' ในภาษาญี่ปุ่น กลับกลายเป็นเต็งหนึ่งที่ทรงพลังที่สุดในการเป็นสัญลักษณ์แห่งปี
เพราะมันสะท้อนถึง วิกฤตความปลอดภัยและระบบนิเวศ ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษของประเทศญี่ปุ่น
อย่างไร?
สถิติ ‘หมีบุกคน’ ทำลายประวัติการณ์
ในช่วงปี 2024-2025 ญี่ปุ่น โดยเฉพาะในภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) และโฮกุริกุ (Hokuriku) ได้เผชิญกับเหตุการณ์หมีบุกรุกและทำร้ายมนุษย์ในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน ข้อมูลสถิติได้ตอกย้ำถึงความรุนแรงของสถานการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าว
ตามรายงานของสื่อและข้อมูลจากกระทรวงสิ่งแวดล้อมญี่ปุ่น (Ministry of the Environment) ตัวเลขการพบเห็นหมีในพื้นที่สาธารณะและเขตชุมชนพุ่งขึ้นสูงทุบสถิติ โดยมีรายงานว่าในบางจังหวัด ตัวเลขการพบเห็นสะสมในหนึ่งปีงบประมาณสูงกว่า 20,000 ครั้ง
แค่เห็นยังไม่พอ! ผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดคือ ‘การโจมตีมนุษย์’ โดยมีรายงานว่า มีผู้บาดเจ็บกว่า 100 ราย และมีผู้เสียชีวิตถึง 13 ราย ตัวเลขเหล่านี้บีบให้รัฐบาลต้องพิจารณาส่งทหารและนักล่าหมีมืออาชีพเข้าควบคุมสถานการณ์อย่างจริงจัง
จาก ‘ตัวเลข’ สู่การหาสาเหตุ
นักวิชาการญี่ปุ่นได้ชี้ชัดในภายหลังว่า ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดจากประชากรหมีที่เพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก ‘ความอดอยาก’ ที่มีสาเหตุโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาทิ
การขาดแคลนลูกโอ๊ก โดย ศาสตราจารย์ทาเคชิ อิซูมิ (Professor Takeshi Izumi) ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศวิทยา ได้ให้ความเห็นผ่านสื่อว่า ภาวะอากาศแปรปรวน เช่น คลื่นความร้อนในฤดูใบไม้ผลิ และฝนตกหนักผิดปกติ ได้ทำลายวงจรการออกผลของพืชอาหารหลักของหมีดำเอเชีย
ทั้งนี้ อุณหภูมิที่สูงขึ้นและรูปแบบฝนที่ไม่แน่นอน ทำให้ผลผลิตตามธรรมชาติลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่ออาหารในป่าหายไป พวกหมีก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเดินตามกลิ่นอาหารของมนุษย์เพื่อความอยู่รอด
นอกจากนี้ อุณหภูมิที่เฉลี่ยสูงขึ้น ยังทำให้วงจรจำศีลของหมีผิดปกติ! ส่งผลให้หมี จำศีลช้าลง หรือ ตื่นเร็วกว่ากำหนด ทำให้พวกมันต้องออกหาอาหารนานขึ้นในช่วงเวลาที่อาหารในป่าเหลือน้อยอย่างวิกฤต
วิกฤตภูมิอากาศ ผลกระทบที่จะทำให้ชีวิตไม่เหมือนเดิม
กรณีหมีญี่ปุ่นที่ต้องบุกรุกพื้นที่มนุษย์เป็นหนึ่งในตัวอย่างของ ผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งพิสูจน์ว่า ธรรมชาติไม่สามารถรองรับชีวิตแบบเดิมได้อีกต่อไปแล้ว
สัตว์ป่าทั่วโลกกำลังแสดงพฤติกรรม ‘ผิดธรรมชาติ’ ไม่ใช่เพราะวิวัฒนาการ แต่เพราะ ที่อยู่ของพวกมันกำลังถูกทำลายโดย 'วิกฤตสภาพภูมิอากาศ'
ในยุโรปและอเมริกาเหนือ หมีกริซลี (Grizzly Bear) และหมีดำ (Black Bear) เริ่มปรากฏตัวในเขตเมืองและแหล่งทิ้งขยะบ่อยขึ้นอย่างมาก สาเหตุสำคัญคือ 'ไฟป่า' ที่เกิดจากภาวะแห้งแล้งและคลื่นความร้อนได้ทำลายแหล่งอาหารตามธรรมชาติของพวกมันอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ การที่ฤดูหนาวสั้นลงยังกระตุ้นให้พวกมันตื่นจากจำศีลเร็วขึ้น และออกมาเผชิญกับความขาดแคลนอาหาร
ในแอฟริกา การบุกรุกพื้นที่เกษตรของ ‘ช้างป่า’ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุมาจาก ภัยแล้งที่ยาวนานขึ้นอย่างผิดปกติ ซึ่งทำให้แหล่งน้ำและหญ้าในอุทยานแห่งชาติน้อยลง ช้างจึงถูกบีบให้เดินไกลออกไปในพื้นที่ที่มีมนุษย์อาศัยอยู่เพื่อหาแหล่งน้ำที่หลงเหลืออยู่
ในแอฟริกาตะวันออกและใต้อาร์กติก 'หมีขั้วโลก' ต้องเผชิญกับวิกฤตที่รุนแรงกว่านั้น เมื่อแผ่นน้ำแข็ง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารไว้สำหรับล่าแมวน้ำละลายเร็วกว่าปกติ พวกมันจึงต้องว่ายน้ำเป็นระยะทางไกลขึ้นอย่างมาก และ อดอาหารนานขึ้น นำไปสู่ภาวะขาดสารอาหารและอัตราการรอดชีวิตที่ลดลงอย่างน่าตกใจ
จะเห็นได้ว่า วิกฤตสภาพภูมิอากาศจึงไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง
แต่ในเมื่อมันได้ทำลายทั้ง พืช สัตว์ และมนุษย์ (อย่างเช่นกรณีน้ำท่วม) จึงถือว่า
วิกฤตสภาพภูมิอากาศได้ทำลายความสมดุลของระบบนิเวศอย่างครบถ้วน!
การออกมาของ ’หมี’ ในญี่ปุ่น หากดูไปดูมา จึงเป็นความน่าสงสาร เพราะพวกมันกำลังร้องขอชีวิต และพยายามเอาตัวรอด จากสิ่งที่พวกมันไม่ได้ก่อ! เพราะโลกร้อนเกิดจากน้ำมือมนุษย์แทบทั้งสิ้น
จากญี่ปุ่น สู่ไทย วิกฤติสัตว์ทะเลและปะการัง
สัตว์น้อยใหญ่ในประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนนี้เช่นกัน
วิกฤตปะการังฟอกขาว เกิดจากการที่อุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากภาวะโลกร้อน ได้ทำให้ปะการังเกิดปรากฏการณ์ฟอกขาวอย่างรุนแรงในหลายพื้นที่ของทะเลไทย ทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน ปะการังที่ตายไปไม่เพียงแต่ทำให้ระบบนิเวศทางทะเลเสียสมดุล แต่ยังกระทบต่อแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยของ พะยูน และ วาฬบรูด้า ซึ่งเป็นสัตว์ป่าสงวน
นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล เช่น พะยูน ซึ่งเป็นสัตว์กินหญ้าทะเล ต้องเผชิญกับแหล่งอาหารที่ลดลงเนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นและน้ำทะเลเป็นกรดมากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการเจริญเติบโตของหญ้าทะเล
….
ฉะนั้น การประกาศคำว่า 'หมี' เป็นคำแห่งปี 2025 จึงเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดจากญี่ปุ่นไปยังสังคมของพวกเขาว่า
วิกฤตสภาพภูมิอากาศรุนแรงกว่าที่คิด และควรจะจริงจังเสียที!
เพราะมันได้เข้ามาคุกคามระบบนิเวศและชีวิตประจำวันที่จะไม่ปกติธรรมดาอีกต่อไป
นอกจากนี้ ‘หมี' ยังเป็นคำที่เปรียบเสมือน ตัวชี้วัดความล้มเหลว ในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม มันคือคำเตือนที่ดังที่สุดจากธรรมชาติ ว่าถ้าเราไม่สามารถแก้ไขปัญหาโลกร้อนได้อย่างทันท่วงที ปัญหานิเวศวิทยาที่เคยอยู่ในป่าลึกก็จะกลายมาเป็น ความขัดแย้งที่หน้าประตูบ้านของเราเอง.


