เรื่องจริง! จาก 'หมู่บ้านร้าง' สู่เกษตรอัจฉริยะ ‘Mango Land’ ส่งออกมะม่วงทั้งตำบล
เรื่องจริง! จาก 'หมู่บ้านร้าง’ สู่เกษตรอัจฉริยะ ‘Mango Land’ ส่งออกมะม่วงทั้งตำบล
KEY
POINTS
- พบกับ Mango Land วิสาหกิจชุมชนจ.ปราจีนบุรี ที่พลิกจาก 'หมู่บ้านร้าง' สู่ธุรกิจการเกษตร
- ปัจจัยความสำเร็จคือ ผู้นำที่เข้มแข็ง และความร่วมมือจากภายเครือข่ายภายนอก
- ชี้นโยบายรัฐฯ ที่ตอบโจทย์เกษตรกร และเวทีร่วมมือคือสิ่งที่ 'ธุรกิจเกษตร' ต้องการ
1
“ จากเดิมหมู่บ้านผมเรียกได้ว่าไกลปืนเที่ยง คือไกลที่สุดของจังหวัดปราจีนบุรีแล้ว สมัยก่อนเขาเรียกว่า ‘ดงโจร’ แต่ตอนนี้ เราขยับขึ้นมาเป็นหมู่บ้านต้นแบบของจังหวัดปราจีนบุรีได้ เพราะมะม่วง”
คำว่า ‘ดงโจร' จากปากของ แชมป์-สายนที ธรรมมะ คนรุ่นใหม่ที่ขับเคลื่อนวิสาหกิจชุมชนมะม่วงบ้านมาบเหียง จ.ปราจีนบุรี
มีเสียงกลั้วหัวเราะ เพราะนึกได้ถึงความแห้งแล้ง และความยากจนของคนในหมู่บ้านเมื่อครั้งอดีต
แต่ก่อนหมู่บ้านนี้ แม้แต่คนในพื้นที่ยังถอดใจว่า ‘ไกลเหลือเกิน’ ทำมาหาเลี้ยงชีพก็ได้แต่ประกอบอาชีพปลูกมันสำปะหลังและข้าวโพด ซึ่งสร้างรายได้ไม่เกิน 4 หมื่นบาทต่อปี บวกกับประสบปัญหาภัยแล้งอย่างหนักติดต่อกัน
ผลพวงจากความยากจนส่งผลให้คนเริ่มทยอยออกจากหมู่บ้าน จน ‘มาบเหียง’ แทบจะกลายเป็นหมู่บ้านร้าง
เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ อดีตนิสิตคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อย่าง แชมป์ ในเวลานั้นตัดสินใจหันหน้าออกจากวงจรการทำงานในเมืองใหญ่ที่ไม่ใช่ทางของตนเอง เพื่อ ‘กลับบ้าน’
บ้านของแชมป์ เป็นบ้านหลังแรกที่ทดลองเปลี่ยนจาก ‘เกษตรพืชไร่’ เป็น ‘พืชสวน’
พ่อของเขาปลูกมะม่วงในพื้นที่ 10 ไร่ เริ่มต้นแค่อยากจะรู้ว่าโตหรือไม่ ขายได้หรือเปล่า ไม่ได้ตั้งใจจะทำในเชิงธุรกิจ เมื่อผลผลิตออกมาก็ลองไปขายส่งตลาดในพื้นที่
“ ตอนนั้นขายส่งได้กิโลกรัมละ 5 บาท แต่ว่าคิดๆ แล้วได้เงิน 130,000 บาทเลย ซึ่งพอเทียบกับไร่มันสำปะหลังในขนาดพื้นที่เท่ากัน ได้เงินมากกว่าถึง 5 เท่า”
แน่นอนว่าในหมู่บ้านที่ทุกคนต่างรู้จักมักคุ้น เรื่องราวนี้ก็ได้แพร่กระจายไปถึงหูของเพื่อนบ้านในละแวกเดียวกัน
2
ความสำเร็จที่ดูเหมือนจะเล็กน้อยในสายตาคนภายนอก กลับดูยิ่งใหญ่สำหรับคนในบ้าน ‘มาบเหียง’
“ เริ่มต้นคือชักชวนพี่น้องใกล้ตัว ปรับพื้นที่เปลี่ยนจากปลูกมันสำปะหลังเป็นมะม่วง เรารวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชนในปี 2552 ตอนนั้นมีสมาชิกแค่ 10 ราย”
วิสาหกิจชุมชนมะม่วงบ้านมาบเหียง จ.ปราจีนบุรี จึงเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น
แชมป์เล่าให้ฟังว่า พวกเขาใช้เวลา 5 ปีในการปรับปรุงคุณภาพเพื่อให้ ‘มะม่วงบ้านมาบเหียง’ ได้มาตรฐาน GAP คือ การผลิตทางการเกษตรที่ดีและเหมาะสม
การรวมกลุ่มที่เข้มแข็งของ ‘มาบเหียง’ ทำให้พ่อค้าแม่ค้า ต่างถิ่นล่วงรู้ถึงปริมาณผลผลิตมะม่วงที่ดี มีคุณภาพจากที่นี่ แต่ก็ยังหนีไม่พ้นการถูกเอาเปรียบจากพ่อค้า
“เราไปตกลงกับตลาดใหญ่ๆ ต่างๆ ตอนแรกโทรไปตกลงราคากันที่กิโลกรัมละ 25 บาท พอเราเอามะม่วงเข็นไปถึงที่ บอกเราว่าเมื่อเช้าราคาตลาดลงเหลือ 20 บาท เราก็เหมือนถูกเอาเปรียบ แบกรับความเสี่ยงทั้งค่ารถ ค่าน้ำมัน บางทีก็มีอุบัติเหตุอีก”
ทางแก้ที่ ‘มาบเหียง’ คิดนอกจากการทำให้มะม่วงมี ‘คุณภาพ’ แล้ว พวกเขายังมองว่าการขยายกลุ่มและปริมาณการผลิตจะทำให้มีอำนาจต่อรอง จากสมาชิกแค่เพียง 10 ราย จึงขยายจนถึง 31 ราย ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1,600 ไร่
“ ตอนนี้เขาต้องเอารถมารับเองถึงที่แล้ว เพราะปริมาณของเราเยอะ แล้วเราก็สามารถดีลกับพ่อค้าหลายที่ ให้เสนอราคามาเพื่อเลือกราคาที่ดีที่สุด ใครก็อยากได้มะม่วงที่นี่เพราะมีคุณภาพ”
ปัจจุบัน ‘วิสาหกิจชุมชนมะม่วงบ้านมาบเหียง’ ภายใต้ชื่อแบรนด์ Mango Land สามารถที่จะส่งมะม่วงของพวกเขาขายตามโมเดิร์นเทรด รวมไปถึงส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ทั้งจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ทั้งหมดนี้สามารถสร้างรายได้ให้แก่ชาวบ้านกว่า 100 ครัวเรือน รวมแล้วเป็นจำนวนเงินกว่า 25 ล้านบาทต่อปี เฉลี่ยแล้วชาวบ้านได้รายได้มากขึ้นอย่างต่ำ 2 เท่า! และตอนนี้กำลังจะมีแผนขยายไปสู่ตลาดตะวันออกกลาง
“ ที่ตะวันออกกลางมีข้อดีอย่างหนึ่งคือ เขาไม่ได้เรื่องเยอะกับการส่งออกมาก หากส่งไปที่อื่นจะต้องมีเรื่องการฉายรังสี จำกัดเรื่องสารหลายตัว แต่ในตะวันออกกลางขอแค่เพียงการรักษาอุณหภูมิ กับแมลง ซึ่งทางกลุ่มผลิตได้ง่ายกว่า
ความต้องการมะม่วงก็ชอบหลากหลายสายพันธุ์ไม่จำกัด รสนิยมจะคล้ายในประเทศไทยที่ชอบลองกินมะม่วงหลากหลายพันธุ์ แต่ว่าขายได้ในราคาที่ดีกว่า”
จากแผนที่กำหนดไว้ทั้งปัจจุบันและอนาคต แชมป์ แชร์ว่าการขยายปริมาณการผลิตก็เป็นส่วนสำคัญ ซึ่งคิดไว้ 3 ส่วนได้แก่
ส่วนแรก : สมาชิก เนื่องจากสมาชิกมีอายุมากขึ้น จึงต้องมีการสร้างทายาทไว้สืบทอดและพัฒนาเป็น Young Smart Farmer ต่อไป
ส่วนที่สอง : พื้นที่ คือปลูกในระยะที่ชิดกว่าเดิม จากเดิมที่ปลูกหนึ่งต้นห่างกันในระยะ 7 คูณ 8 เมตร ก็จะปรับมาเป็น 4 คูณ 4 เมตร
ส่วนที่สาม : เลือกตลาด โดยจะตกลงกันในกลุ่มว่าจะโฟกัสที่ตลาดไหน และจะปลูกอะไรเพื่อให้คุ้มค่ามากที่สุด
สำหรับการขยายหรือเปิดรับสมาชิกนั้น จะเน้นเป็นการร่วมมือกับเครือข่าย เช่น เครือข่ายในพื้นที่จังหวัดอื่นๆ ที่มีมาตรฐานเดียวกัน เพื่อรวมปริมาณผลผลิตแทน!
3
ถ้าพูดถึง ‘วิสาหกิจชุมชน’ กรมส่งเสริมการเกษตรเคยให้ข้อมูลในปี 2567 ไว้ว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีวิสาหกิจชุมชนที่จดทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรจำนวน 75,430 แห่ง ในจำนวนนี้มีวิสาหกิจชุมชนราว 200 แห่งที่สามารถส่งออกสินค้าไปขายยังต่างประเทศได้ ซึ่งเท่ากับความสำเร็จในอัตรา 1: 377
Mango Land (แมงโก้แลนด์) ของวิสาหกิจชุมชนมะม่วงบ้านมาบเหียง จ.ปราจีนบุรี เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในนั้น!
แชมป์บอกถึงปัจจัยความสำเร็จที่เกิดขึ้นว่า ปัจจัยสำคัญ คือ ‘การมีผู้นำที่เข้มแข็ง’
“ผู้นำจะเป็นคนที่นำพากลุ่มไปต่อหรือหยุด การเลือกที่จะไปต่อหรือแม้กระทั่งหยุด มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดซักทีเดียว แต่เราต้องดูว่าถ้าจะไปต่อมันต้องดีจริงๆ กับชาวบ้าน
ดีไม่ใช่แค่เฉพาะกับเรา ถ้าเราทำคนเดียวปล่อยชาวบ้านอยากทำอะไรก็ทำ ชาวบ้านก็ไม่ได้มีรายได้ไปพร้อมกับเรา สุดท้ายสังคมแวดล้อมบ้านเราก็จะมีปัญหาเหมือนเดิม มาหยิบยืม ลักเล็กขโมยน้อย ปัญหายาเสพติด แต่ถ้าหากเราได้รายได้ประมาณหนึ่งและชาวบ้านได้รายได้ไปพร้อมกัน ทุกคนได้หมด ปัญหาก็จะไม่เกิด”
แชมป์ยังย้ำถึง ‘การสร้างความเข้าใจ’ เป็นพื้นฐานสำคัญของการรวมกลุ่ม หากทุกคนเข้าใจ จะทำอะไรก็พร้อมที่จะทำร่วมกัน ซึ่งเกิดได้จากการมาประชุม และผู้นำต้องทำเป็นตัวอย่าง ให้เห็นข้อดีข้อเสีย
4
ในฐานะ ‘เกษตรกร’ ที่ผันตัวมาเป็น ‘ผู้ประกอบการด้านการเกษตร’ แชมป์ มองในอีกมุมหนึ่งว่าสิ่งที่ ‘เกษตรกรไทย’ จะทำได้คือ อย่าคิดจะทำเองตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
“ บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ผลิตรถยนต์ เขายังต้องส่งซัพพลายเออร์เวลาต้องผลิตอะไหล่ มีคนที่จะมาทำการขายและบริษัทที่จะทำการตลาดให้ .. เกษตรกรไม่สามารถมีความรู้ทั้งหมดได้ด้วยตัวเองตามลำพัง การไปเชื่อมโยงกับเครือข่ายและหาผู้เชี่ยวชาญมาช่วยจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ”
แชมป์ยกตัวอย่างความร่วมมือที่เกิดขึ้นในกลุ่มวิสาหกิจชุมชนของเขา เช่น เรื่องเทคโนโลยีที่จะมาทดแทนแรงงานซึ่งเริ่มหายากมากขึ้นในปัจจุบัน
“ อย่างธ.ก.ส. เริ่มเข้ามาก็เพราะว่าชาวบ้านก่อนหน้านั้นเป็นหนี้ ธ.ก.ส.อยู่แล้ว เขาก็หาทางเข้ามาช่วยเหลือ และส่งเสริมเริ่มเศรษฐกิจพอเพียง พอเราพัฒนาเป็นวิสาหกิจชุมชนก็พยายามให้เรามีองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม อย่างเช่นระบบ IOT ที่มาควบคุมระบบน้ำ ตอนนี้ที่วิสาหกิจฯ ของเราใช้งานอยู่ ก็สะดวกสบายขึ้นเพราะว่าไม่ว่าเราจะอยู่สวนหรืออยู่ต่างจังหวัดเราก็สามารถรดน้ำได้ ลดการใช้แรงงาน”
แชมป์บอกว่าการให้น้ำแต่เดิม จะเป็นการนำน้ำใส่รถบรรทุกน้ำเข้ามาและต้องมีการจ้างแรงงานคน เพื่อถือสายรดน้ำไปรดน้ำตามต้น ซึ่งทำให้เสียทั้งค่าน้ำมัน ค่าคนขับและเสียเวลา เมื่อเทียบกับระบบ IOT ที่ดำเนินการได้เลยผ่านมือถือ
“ถ้าเทียบกันแล้วนอกจากการวางท่อไปตามพื้น ตัวระบบมีการลงทุนแค่เพียง 1 หมื่นบาท เทียบกับการใช้แรงงานแบบคน เสียค่าแรงคนละ 300 บาทใช้ทีก็ 2 คนคือวันละ 600 บาท”
บทสนทนาระหว่าง โพสต์ทูเดย์ และ แชมป์ ดำเนินต่อไป ท่ามกลางข่าวการส่งออกภาคการเกษตรที่ต้องเผชิญกับความท้าทายมากขึ้น
“ ผมมองว่าภาคเกษตรยังอยู่ได้ รอดง่ายที่สุด เพราะคนก็ต้องกินต้องใช้เหมือนเดิม แต่ทีนี้เกษตรกรต้องมองให้ออก ว่าวันนี้เราเป็นแค่ ‘เกษตรกร’ หรือเรากำลังทำ ‘ธุรกิจการเกษตร’ ถ้าเป็นแค่เกษตรกร สเกลก็จะแคบแค่ระดับครัวเรือน แต่ถ้าเราเป็นธุรกิจการเกษตร ก็จะมีเรื่องของการสร้างความยั่งยืนเป็นส่วนสำคัญ
ผมมองว่าเกษตรกรถ้าจะทำเป็นธุรกิจก็ต้องรวมกลุ่ม แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เชื่อมโยงกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน กับพ่อค้าให้มากขึ้น ”
นอกจากนี้ แชมป์ยังพูดถึงการเดินทางไปศึกษาดูงานที่ต่างประเทศ ซึ่งเกิดจากการที่วิสาหกิจชุมชนของพวกเขาได้เชื่อมโยงกับเครือข่ายภายนอก ทำให้เขามองไปไกลถึงนโยบายของรัฐฯ ที่จะส่งผลต่อธุรกิจเกษตรในหมู่บ้านเล็กๆ ของตนเอง
“ตอนที่ผมไปกับ ธ.ก.ส. ไปดูงานที่ซินเจียง เราเห็นว่านโยบายที่รัฐบาลของเขาออกมาโฟกัสไปที่เกษตรกรของเขา ไม่ใช่นโยบายหาเสียงซึ่งไม่ค่อยสร้างความยั่งยืนให้แก่เกษตรกร อย่างเช่น การลงทุนสร้างโรงเรือนให้กว่า 500 โรงเรือนเพื่อให้เกษตรกรเช่าปีละ 5 หมื่นบาท ในขณะที่เกษตรกรสามารถทำรายได้ปีหนึ่ง 4 ครั้งเฉลี่ยแล้วได้ปีละ 5 แสนถึง 1 ล้านบาท ทำให้เกษตรกรของเขามีกำไร มีรายได้โดยที่ไม่ต้องลงทุนเยอะ แล้วก็ได้เห็นการนำ‘สตอรี่’ มาสร้างมูลค่าให้แก่สินค้า
ที่สำคัญผมอยากให้มีการจัดเวทีให้ธุรกิจเกษตรตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำมาเจอกัน เพราะอย่างผมอยู่ในปราจีนบุรี มีนิคมอุตสาหกรรมอยู่เยอะมาก แต่กว่าจะหาบริษัทที่แปรรูปผลไม้ได้ ผมแทบจะหาไม่เคยเจอเลย ผมเลยมองว่ามันไม่มีเวทีที่ให้ผมได้ไปเจอกับผู้ประกอบการเหล่านี้ครับ”
.
.
ท้ายนี้ แชมป์บอกกับ โพสต์ทูเดย์ ว่า สินค้ามะม่วงของไทย เป็นที่ยอมรับของตลาดโลก แม้ว่าจะมีปริมาณการส่งออกเทียบกับประเทศอื่นยังน้อยกว่า แต่ถ้าถามถึงคุณภาพก็ยังต้องพูดถึงประเทศไทย ...
“ความฝันของผมก็คือ อยากให้ตลาดโลกได้รู้จัก มะม่วงจากมาบเหียงครับ”
และนั่นจึงทำให้แชมป์และสมาชิกจากวิสาหกิจชุมชนมะม่วงบ้านมาบเหียง ยังคงต้องทำงานอย่างหนัก และพยายามที่จะขยายตลาดไปยังตลาดใหม่ๆ เพื่อให้มะม่วงจากพื้นที่ที่เคยแห้งแล้ง และถูกเมินที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย มีชื่อเสียงในระดับ ‘โลก’ ให้ได้สักวันหนึ่ง.


