เปิด 5 เทรนด์อีคอมเมิร์ซ! ตลาดอาเซียนโตแรง SME ปรับเร็วได้เปรียบ
อีคอมเมิร์ซอาเซียนโตแรง! คาดแตะ 230 พันล้านดอลลาร์ในปี 2026 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิด 5 เทรนด์ที่ผู้ประกอบการห้ามพลาด
ตลาดอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคอาเซียนกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 22% ต่อปี และคาดการณ์ว่า มูลค่ารวมจะทะลุ 230 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2026 การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคและการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ทำให้รูปแบบการค้าขายแบบเดิมอาจไม่เพียงพอสำหรับการเติบโตในยุคนี้
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIPROM) จึงเผย 5 เทรนด์ทางการค้าที่ผู้ประกอบการควรรู้ เพื่อนำไปต่อยอดและพัฒนาธุรกิจให้ทันกับตลาดที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
1. Mobile Commerce
ลูกค้าส่วนใหญ่หันมาชอปปิงผ่านมือถือ มากกว่าใช้งานผ่านเดสก์ท็อปหรือคอมพิวเตอร์ ด้วยพฤติกรรมที่ “ชอปได้ทุกที่ ทุกเวลา” ธุรกิจจึงควรให้ความสำคัญกับการออกแบบ UX/UI ให้เหมาะกับหน้าจอขนาดเล็ก โหลดเร็ว ใช้งานง่าย เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสในการปิดการขาย
2. Social Commerce
แพลตฟอร์มอย่าง TikTok, Instagram, Facebook ไม่ใช่แค่ช่องทางสำหรับการโปรโมตสินค้าอีกต่อไป แต่กลายเป็นพื้นที่ซื้อขายจริงจัง ผู้ประกอบการที่ใช้ฟีเจอร์ “Shop Now” หรือ “Live ขายของ” จะได้เปรียบในการสร้างยอดขายแบบทันทีทันใด
3. Cross-border Selling
การค้าขายข้ามประเทศในภูมิภาคอาเซียนและทั่วโลกเป็นไปได้ง่ายขึ้น ทั้งด้านระบบขนส่ง การชำระเงิน และแพลตฟอร์มที่รองรับหลายภาษา การขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้านจึงเป็นอีกโอกาสสำคัญสำหรับธุรกิจที่ต้องการเติบโตแบบก้าวกระโดด
4. Payment Innovation
ผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการความสะดวกในการจ่ายเงิน การรองรับ กระเป๋าเงินดิจิทัล (e-Wallet), QR Code, และบริการ Buy Now Pay Later (BNPL) เป็นตัวช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้กับลูกค้า และเพิ่มโอกาสในการตัดสินใจซื้อได้ทันที
5. Sustainable Commerce
กระแสรักษ์โลกและความยั่งยืนกำลังมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคมากขึ้น สินค้าที่ใช้บรรจุภัณฑ์รีไซเคิล หรือแสดงความโปร่งใสเรื่องสิ่งแวดล้อม จะได้รับความสนใจและความไว้วางใจจากลูกค้ามากกว่าเดิม
ตลาดโต คนซื้อเปลี่ยน เทคโนโลยีก็ล้ำขึ้น ใครปรับก่อน ได้เปรียบก่อน คือแนวคิดที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมต้องการผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยใช้เทรนด์เหล่านี้เป็นแนวทางปรับตัว เพื่อคว้าโอกาสจากตลาดอีคอมเมิร์ซที่ไม่เคยหยุดนิ่ง


