posttoday

ทายาท PUMPKIN พาเครื่องมือช่างแบรนด์ไทยบุกตลาด 25 ประเทศ

15 พฤษภาคม 2568

“พัมคิน” (PUMPKIN) แบรนด์เครื่องมือช่างสัญชาติไทยที่ยืนหยัดในตลาดมากว่า 40 ปี จากจุดเริ่มต้นด้วยค้อนฟักทองและตลับเมตร สู่ไลน์สินค้าเครื่องมือช่างกว่า 6,000 รายการ

KEY

POINTS

  • “พัมคิน” (PUMPKIN) แบรนด์เครื่องมือช่างสัญชาติไทยที่ยืนหยัดในตลาดมากว่า 40 ปี จากจุดเริ่มต้นด้วยค้อนฟักทองและตลับเมตร สู่ไลน์สินค้าเครื่องมือช่างกว่า 6,000 รายการ
  • วันนี้ภายใต้การนำของ “ชวพงษ์ เชาวพัฒนวงศ์” ทายาทรุ่นสอง 
  • ขับเคลื่อนแบรนด์ด้วยแนวคิดแบบลูกหลานคนจีน-ทำธุรกิจอย่ากอดแต่กำไร พาแบรนด์ไทยบุกตลาด 25 ประเทศ

โลโก้ฟักทองสีส้มที่ประทับอยู่บนเครื่องมือช่างหลายๆ ประเภท เป็นสัญลักษณ์ของ "พัมคิน" (PUMPKIN) แบรนด์เครื่องมือช่างที่อยู่คู่ตลาดไทยมายาวนานมากกว่า 40 ปี ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งขึ้นในปี 2528 

 

จากไอเดียของ คุณภิภัทร เชาวพัฒนวงศ์ ผู้ก่อตั้งบริษัท ซึ่งมองเห็นโอกาสในตลาดเครื่องมือช่าง ตั้งแต่ยังไม่มีแบรนด์ไทยใดโดดเด่น ในขณะที่ญี่ปุ่น จีน สหรัฐฯ เยอรมนี เป็นผู้นำในตลาดสมัยนั้น  

 

โดยคุณภิภัทรเริ่มจากสินค้าที่เป็นงานไม้ อย่างค้อน และตลับเมตร ก่อนจะค่อย ๆ ขยับขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของตลาดมาเรื่อย ๆ 

 

จนถึงวันนี้ ทำให้แบรนด์พัมคินมีสินค้ามากกว่า 6,000 รายการครอบคลุมตั้งแต่เครื่องมือไฟฟ้า เครื่องมือช่างก่อสร้าง เครื่องมืออุตสาหกรรม เครื่องมือลม อุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ไปจนถึงเครื่องมือทำสวน อุปกรณ์ความปลอดภัย เครื่องมือไร้สาย ฯลฯ 

 

ทั้งจากการพัฒนาภายในบริษัทเองและการนำเข้าคุณภาพสูงจากญี่ปุ่น เกาหลี และไต้หวัน โดยวางแบรนด์เป็นเครื่องมือทำมาหากินของคน และไม่ได้ขายแค่ในประเทศ แต่ยังส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ ราวๆ 25 ประเทศ 

 

ความพยายามดังกล่าว ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งมาจากการผลักดัน ของทายาทรุ่นสองของครอบครัว "เชาวพัฒนวงศ์" ที่มีอยู่ด้วยกันสามคน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ คุณชวพงษ์ เชาวพัฒนวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พัมคิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้เป็นหัวเรือหลักของแบรนด์พัมคินในตอนนี้ 

 

คุณชวพงษ์ หรือคุณยอร์ช เติบโตมากับการเรียนรู้งานจากคุณพ่อตั้งแต่เป็นนักเรียนมัธยม ผ่านการช่วยหยิบจับเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจนถึงเป็น เด็กส่งของ ทั้งยังผ่านการศึกษาด้านการตลาด รวมถึงจบปริญญาโท MBA จากจีน ทำให้เขามีความรู้ที่จะต่อยอดธุรกิจครอบครัว 

 

 

เขาเป็นผู้บริหารพัมคินมาเกือบ 10 ปี แต่ไม่ค่อยปรากฏตัวในหน้าสื่อหรือให้สัมภาษณ์บ่อยนัก เนื่องจากส่วนใหญ่เขามักจะทำงานอยู่หลังบ้าน

 

โพสต์ทูเดย์ ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับเขา ในงานสถาปนิก'68 ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อไม่นานมานี้ ถึงมุมมอง แนวคิด และการเข้ามาสานต่อธุรกิจครอบครัว 

 

จากแบรนด์ “ฟักทอง” สู่ “พัมคิน” ชื่อนี้มีความเป็นสิริมงคล

 

เขาเล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของธุรกิจครอบครัวเมื่อ 40 ปีก่อนว่า คุณพ่อภิภัทร ไม่ได้มาจากครอบครัวที่มีฐานะดี เป็นเพียงเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่งที่เข้ามากรุงเทพฯ ก็ชักจูงเพื่อน ๆ ให้ไปอยู่ในบริษัทที่ขายเครื่องมือฮาร์ดแวร์ และก็เริ่มไต่เต้าตั้งแต่เด็กส่งของ จนเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย 

 

แต่พอถึงจุดนึงท่านก็มองว่าอยากมีความมั่นคงในครอบครัว จึงปลีกตัวออกมาทำธุรกิจเอง โดยที่ไม่ได้ขัดแย้งกับเถ้าแก่เก่า

 

ท่านก็ค่อย ๆ ปั้นตัวเองขึ้นมา จนมีโอกาสพบปะกับคนญี่ปุ่นที่เขามีความรู้ความสามารถในการทำ "ค้อนและเลื่อย" พอท่านได้ความรู้การทำเครื่องมือจากชาวญี่ปุ่นจึงตัดสินใจผันตัวเองมาทำโรงงานขายค้อน เครื่องมือต่าง ๆ 

 

ทายาท PUMPKIN พาเครื่องมือช่างแบรนด์ไทยบุกตลาด 25 ประเทศ


 

ด้วยความเป็นลูกหลานคนจีน จึงยึดความเป็นสิริมงคล มาตั้งชื่อแบรนด์ 

 

ก่อนหน้านั้น ท่านลองคิดชื่อมาหลายแบบ จนสุดท้ายเลือกใช้คำว่า ‘ฟักทอง’ ซึ่งไม่เพียงจดลิขสิทธิ์ได้ และยังสะท้อนถึงความเป็นสิริมงคลตามความเชื่อของชาวจีน ที่นิยมใช้ฟักทองในการบูชาและเสริมโชคลาภ

 

ท่านยังมีกลยุทธ์เล็ก ๆ ที่แฝงไว้ในชื่อแบรนด์ คืออยากให้ลูกค้าเข้าร้านแล้วพูดว่า ‘ขอซื้อค้อนฟักทองหน่อย’ ซึ่งเมื่อได้ยินก็จะรู้สึกดีและจดจำได้ง่าย ก่อนที่ภายหลังจะปรับชื่อแบรนด์เป็น พัมคิน (PUMPKIN) ชื่อฟักทองในภาษาอังกฤษ เพื่อให้เหมาะกับการขยายสู่ตลาดต่างประเทศ

 

ในช่วงนั้น คุณยอร์ช ยังเป็นเพียงนักเรียนมัธยม ซึ่งเขาเล่าให้ฟังต่อว่า นั่นคือความโชคดีที่ได้เติบโตท่ามกลางความมุมานะ และความท้าทายของการสร้างกิจการจากศูนย์

 

"การได้เห็นแนวคิดและวิธีการทำงานของพ่ออย่างใกล้ชิด ทำให้ผมเรียนรู้บทเรียนสำคัญในชีวิตว่า 'ทำน้อยได้น้อย ทำมากได้มาก' ซึ่งเป็นความจริงที่สัมผัสได้ด้วยตัวเอง"

 

เขายังบอกอีกว่า สมัยเด็กเขาไม่ได้มีโอกาสได้เปิดกว้างเหมือนเพื่อนวัยเดียวกันเท่าไหร่นัก เพราะชีวิตนั้นวนเวียนอยู่กับบ้าน โรงงาน และการช่วยงานในธุรกิจครอบครัว มีบางวันต้องไปขับรถส่งของ

 

"ตอนนั้นผมแอบขับรถส่งของทั้ง ๆ ที่ไม่มีใบขับขี่ ด้วยซ้ำ" (เขาพูดไปหัวเราะไป เมื่อนึกถึงอดีต) 

 

พอคลุกคลีมาแต่เด็ก จึงทำให้มีความสนใจในการทำธุรกิจ และเริ่มศึกษาภาษาจีน 

 

ซึ่งเกิดจากการได้เห็นพ่อสื่อสารกับเพื่อน นักธุรกิจจากนานาประเทศ โดยเฉพาะไต้หวัน จึงทำให้มองเห็นโอกาสจากการใช้ภาษาจีน เนื่องจากมองว่าจะเป็นภาษาอนาคต จึงตัดสินเรียนลงคอร์สเรียนภาษาจีน หลังจบการศึกษาด้านการบริหารการตลาดที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญในระดับปริญญาตรีจึงเข้าศึกษาต่อ MBA จาก Shanghai University of Finance and Economics ประเทศจีน พร้อมเก็บเกี่ยวความรู้ที่สามารถใช้ต่อยอดธุรกิจ

 

การเรียนที่จีนเป็นประสบการณ์ที่เปิดโลกอย่างแท้จริง ด้วยประเทศจีนมีจำนวนประชากรที่มากและการแข่งขันที่เข้มข้น ทำให้บรรยากาศการเรียนเต็มไปด้วยพลัง ความกระตือรือร้น และการแสวงหาความรู้
สังคมจีนค่อนข้างจริงจังกับเรื่องการศึกษา

 

แม้หลักสูตรอาจไม่แตกต่างจากที่อื่นมากนัก แต่สิ่งที่โดดเด่นคือความเข้มข้นของสภาพแวดล้อม เช่น การสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่จีน คิดว่าไทยยากแล้ว ของจีนถือว่ายากยิ่งกว่า

 

"ประสบการณ์ตรงนั้นทำให้เราสามารถสื่อสารภาษาจีนได้คล่อง"

 

หลังเรียนจบ สวมชุดพนักงานพัมคิม เริ่มเรียนรู้จากทุกแผนกก่อนขึ้นเป็นผู้บริหาร 

 

ผมเริ่มเข้ามาช่วยงานคุณพ่ออย่างเต็มตัวประมาณปี 2551 พร้อมกับพี่น้องอีกสองคน ตอนนั้นผมเลือกเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ ด้วยการสวมชุดพนักงานของพัมคิน ลงพื้นที่เรียนรู้งานในทุกแผนก ตั้งแต่ฝ่ายขาย การจัดส่ง คลังสินค้า ฝ่ายจัดซื้อ การตลาด ไปจนถึงงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์

 

ใช้เวลาหลายปีเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากหน้างานจริงอย่างเข้มข้น จนกระทั่งในปี 2560 เมื่อมั่นใจว่าตัวเองมีทั้งความรู้ ความเข้าใจ และมุมมองที่รอบด้านเพียงพอ จึงก้าวขึ้นมารับตำแหน่งผู้บริหารอย่างเต็มตัว 

 

ทายาท PUMPKIN พาเครื่องมือช่างแบรนด์ไทยบุกตลาด 25 ประเทศ

 

ผลงานสร้างชื่อคือขยายตลาดต่างประเทศ 

 

หลังนั่งเก้าอี้บริหารเต็มตัว ชวพงษ์ ในฐานะทายาทพัมคิม สร้างผลงานเด่นคือการ ต่อยอดการเติบโตในต่างประเทศได้ดีต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมีการส่งออกสินค้าภายใต้แบรนด์พัมคินราวๆ 25 ประเทศ คิดเป็นสัดส่วน 15% ของการขาย ที่เหลือเป็นตลาดในประเทศ ครอบคลุมทั้งประเทศเพื่อนบ้านและเอเชียไม่ว่าจะเป็นลาว กัมพูชา เมียนมา สิงคโปร์ ภูฏาน

 

"ตลาดอาเซียนเป็นตลาดใหญ่สุดของการส่งไปต่างประเทศ ส่วนภูฏานเป็นประเทศที่เขาให้ความสนใจกับคำว่าแบรนด์ไทย ขณะเดียวกันยังเริ่มมีการจัดจำหน่ายผ่านตัวแทนผู้จัดจำหน่ายในประเทศแถบอเมริกาใต้ ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล เอกวาดอร์ ชิลี"


รวมถึงการสร้างคอนเซ็ปต์ “Pumpkin Corner” ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าได้ใกล้ชิดและครบครันยิ่งขึ้น ซึ่งเขาตั้งใจอยากให้พัมคิน เป็นแบรนด์เครื่องมือทำมาหากินของผู้คน และใครก็ต้องนึกถึงพัมคิน ซึ่งในปัจจุบันพัมคิน มีสินค้าภายใต้แบรนด์กว่า 6,000 รายการ และยังเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าเครื่องมือช่างจากญี่ปุ่น เกาหลี และไต้หวัน รวมทั้งกำลังเตรียมนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ จากต่างประเทศเข้าสู่ตลาดไทย พร้อมทั้งขยายตลาดส่งออกเพิ่มเติม 

 

ชวพงษ์ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่า การแข่งขันในแต่ละตลาด ไม่ว่าจะในหรือต่างประเทศ ล้วนเต็มไปด้วยความท้าทายและคู่แข่งที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในเวทีต่างประเทศที่เราต้องเผชิญกับผู้เล่นรายใหญ่จากหลายประเทศ เช่น จีน รวมถึงแบรนด์ท้องถิ่นที่แข็งแกร่งในตลาดของตนเอง

 

อย่างไรก็ตาม จุดแข็งของพัมคิน คือประสบการณ์จากตลาดไทย ซึ่งเราได้ทำงานร่วมกับผู้บริโภคอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด เราจึงเข้าใจลึกซึ้งถึงรูปแบบการใช้งานจริง ปัญหาที่เกิดขึ้น และแนวทางแก้ไขที่ผู้ใช้ต้องการ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นองค์ความรู้ที่นำไปปรับใช้กับแต่ละตลาดในแบบที่เหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น

 

สิ่งที่เราพบว่าน่าสนใจคือ หลายประเทศ แม้แต่แบรนด์ท้องถิ่นของเขาเองกลับไม่ได้ให้ความสำคัญกับ “การเข้าใจผู้บริโภคจริง” เท่าที่ควร เช่นเดียวกับในตลาดไทยที่แม้จะมีการแข่งขันสูง แต่ก็ยังมีแบรนด์จำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ให้คุณค่ากับประสบการณ์และความจริงของผู้บริโภคมากพอ

 

จึงเชื่อว่า การเข้าใจความคิดของผู้คนในทุกระดับคือหัวใจสำคัญของการพัฒนาธุรกิจ เพราะในแต่ละตลาดมีความหลากหลายสูง ตั้งแต่กลุ่มผู้ใช้งานทั่วไปไปจนถึงมืออาชีพ และการทำให้เข้าใจ “ความต้องการจริง” ของแต่ละกลุ่ม คือสิ่งที่ทำให้แบรนด์เติบโตได้อย่างยั่งยืน

 

และนอกจากการพัฒนาจุดแข็งของแบรนด์แล้ว เขาเองยังต้องพัฒนาภายในองค์กรให้แข็งแรงด้วย

 

เขาบอกว่า เขามุ่งมั่นที่จะทำให้องค์กรพัมคิมมีความคล่องตัวสูงสุด เพราะในยุคที่การแข่งขันและภาวะเศรษฐกิจเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การพร้อมปรับตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่องจึงเป็นหัวใจสำคัญ ต้องทำงานบนพื้นฐานของข้อมูลจริง และเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น AI, คอมพิวเตอร์ หรือระบบโรบอท ที่จะช่วยเสริมศักยภาพในการบริหารจัดการงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งส่งเสริมให้พนักงานทุกคนก้าวไปด้วยกันในยุคดิจิทัลนี้

 

“ทุกวันนี้น้อง ๆ ในทีมใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยย่นระยะเวลา เพิ่มความรวดเร็ว และทำงานได้ชัดเจนขึ้น AI ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาที่ช่วยวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้เราสามารถนำข้อมูลนั้นมาปรับใช้และตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม”

 

"คน" คือทรัพยากรสำคัญที่สุดขององค์กร
 

พัมคินให้ความสำคัญกับ "บุคลากร" มากที่สุด เพราะเชื่อว่าธุรกิจจะเติบโตอย่างมั่นคงได้ก็ต่อเมื่อคนในองค์กรเติบโตไปพร้อมกัน ปัจจุบันเราเป็นครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีสมาชิกกว่า 700 คน ซึ่งเราไม่ได้มองว่าพนักงานคือแรงงาน แต่คือ "ครอบครัวพัมคิน"

 

ผมมักบอกกับพนักงานเสมอว่า “เมื่อเราใช้นามสกุลเดียวกัน คือพัมคิน เราจะอยู่ร่วมกันอย่างไรให้ส่งเสริมกัน” ไม่ใช่แค่ในแง่ของหน้าที่ แต่ในแง่ของโอกาส ผมพยายามเปิดพื้นที่ให้พนักงานได้เรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของตนเอง มีโอกาสแสดงความสามารถ และเติบโตไปพร้อมกับองค์กร

 

ทายาท PUMPKIN พาเครื่องมือช่างแบรนด์ไทยบุกตลาด 25 ประเทศ

 

พรีเซ้นต์แบรนด์คนไทย 

 

ถ้ามองย้อนกลับไปในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตามสถานการณ์การแข่งขันที่แปรผันไป แต่สิ่งที่เรายึดมั่นมาตลอดคือเป้าหมายที่ชัดเจนในการสร้างแบรนด์พัมคินให้เป็นแบรนด์ของคนไทย ที่อยู่ในใจคนไทยอย่างแท้จริง

 

ทุกครั้งที่ผู้บริโภคนึกถึงเครื่องมือคุณภาพ เขาจะนึกถึงพัมคินก่อนเสมอ ด้วยมาตรฐานที่มั่นคงและราคาที่คุ้มค่ากับสินค้า จึงต้องปลูกฝังความเชื่อนี้ให้ลูกค้า ซึ่งเป้าหมายนี้เองเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรอย่างไม่หยุดยั้ง

 

การเดินทางของพัมคิม มาถึงวันนี้ เรียกว่าเปลี่ยนแปลงไปมาก ชวพงษ์ บอกว่า พัมคิน เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกที่นำเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจอย่างจริงจัง เช่น การขายสินค้าออนไลน์ตั้งแต่ยุคที่ยังมีแต่ผู้แทนขายวิ่งเข้าไปพบลูกค้าตามร้านค้า พัมคิมก็เป็นเจ้าแรก ๆ ที่นำระบบ ERP ซอฟต์แวร์สำหรับบริหารงานทรัพยากรขององค์กร มาใช้บริหารจัดการ ทั้งในส่วนของระบบสั่งซื้อ ระบบขาย บัญชี และคลังสินค้า ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยยกระดับการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

 

ในอีก 5 ปีข้างหน้าลุยตลาดประเทศที่ไม่เคยไป

 

ปัจจุบันตลาดในประเทศยังคงเป็นตลาดหลักที่ใหญ่ที่สุดของพัมคิน เป้าหมายตลาดในประเทศ เขามองว่าจะยังคงยึดมั่นพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างแท้จริง โดยมุ่งเน้นแก้ไขปัญหาและช่วยให้ผู้ใช้ทำมาหากินได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

 

และตอนนี้กำลังขยายตลาดไปยังประเทศต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดที่เข้าถึงยาก เช่น รัสเซีย ซึ่งมีขนาดตลาดใหญ่ กำลังซื้อสูง และมีผู้บริโภคจำนวนมาก กำลังอยู่ในช่วงเจรจาหาพันธมิตรเพื่อขยายธุรกิจในปีนี้ ก็พยามเรียนรู้จากหลาย ๆ ประเทศที่เอาสินค้าเข้าไปได้จากหลาย ๆ ประเทศ เช่น อเมริกาใต้ อาร์เจนติน่า แอฟริกาใต้ ซึ่งโดยสรุปคือจะต่อยอดไปยังตลาดที่ไม่เคยไป

 

ในการนำเสนอแบรนด์พัมคินทั่วโลก ผมใช้คำว่า “แบรนด์ไทย” อย่างภูมิใจ เพราะพัมคินอยู่ในตลาดไทยมากว่า 30-40 ปี ความมั่นใจของลูกค้าเกิดจากการรักษามาตรฐานและความจริงใจ ไม่หลอกลวงผู้บริโภค นั่นคือเหตุผลที่เราสามารถอยู่ในตลาดนี้ได้อย่างยาวนาน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ประเทศอื่น ๆ ให้การยอมรับและเห็นคุณค่าในความสำเร็จของเราที่ตลาดไทย

 

"ผมยังรู้สึกสนุกและมีความสุขกับการทำงาน โดยเฉพาะกับทีมงานที่ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ถกเถียง และหัวเราะร่วมกัน นั่นคือความสุขอย่างหนึ่งในชีวิต เพราะตื่นขึ้นมาในแต่ละวันเรายังมีเป้าหมายที่ชัดเจน ดังนั้น ผมจึงตั้งใจทำงานไปตราบเท่าที่พนักงานยังต้องการให้ผมทำ และตราบใดที่สุขภาพยังเอื้ออำนวย"

 

ทายาท PUMPKIN พาเครื่องมือช่างแบรนด์ไทยบุกตลาด 25 ประเทศ


"ส่วนใครจะเข้ามารับช่วงต่อ ก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ สิ่งที่เราสร้างมา ก็หวังว่าจะมีคนมาต่อยอด ผมไม่ปฏิเสธว่าพ่อแม่อยากให้ลูกสืบทอดธุรกิจ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเลือกเส้นทางนี้ หน้าที่ของเราคือส่งเสริมให้เขาเติบโตและดูแลตัวเองได้ ไม่ว่าจะด้วยรูปแบบใดก็ตาม เพราะสุดท้ายแล้ว ความสุขกับการใช้ชีวิตของแต่ละคนคือสิ่งสำคัญที่สุด หากไม่มีความสุข ชีวิตก็ขาดคุณค่า"

 

การทำงานหนักทำให้เกิดความเครียด 

 

ชวพงษ์ ให้ความเห็นว่า ความเครียดมีหลายระดับ ถ้าอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ผมมักจะพูดคุยกับตัวเองทบทวนว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นดีหรือไม่ ผมอยากแชร์ว่า

 

“บนโลกนี้มีแต่ปัญหา เราตื่นขึ้นมาในแต่ละวันพร้อมกับปัญหา หน้าที่ของเราคือการแก้ปัญหา”

 

ปัญหาของผมมีสองประเภท คือ ปัญหาที่แก้ไม่ได้ กับ ปัญหาที่แก้ได้ หากเจอปัญหาที่แก้ไม่ได้ ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ แต่ถ้าเป็นปัญหาที่แก้ได้ ก็ต้องรีบลงมือแก้ทันที ไม่ควรรอ เมื่อเจอความเครียด ผมจะพยายามมองปัญหาอย่างเป็นระบบ และจัดการความคิดของตัวเองให้ผ่านมันไปได้

 

Work-Life Balance ฉบับซีอีโอแต่ละคนไม่เหมือนกัน

 

ซีอีโอหลายคนมักพูดกันว่า คนที่จะประสบความสำเร็จนั้นไม่มีคำว่า Work-Life Balance จริง ๆ แล้วสำหรับผม คำว่า Work-Life Balance แต่ละคนมีความหมายไม่เหมือนกัน แต่สำหรับผม มันไม่ได้หมายความว่าเราต้องแบ่งเวลาให้เท่ากันในแต่ละด้าน


ผมนิยามคำนี้ว่า ไม่ว่าจะทำอะไร เราควรทำสิ่งนั้นให้เต็มที่ ช่วงเวลาที่ทำงาน ก็โฟกัสกับงานอย่างเต็มที่ และเมื่ออยู่กับครอบครัว ก็ให้เวลาคุณภาพกับคนที่รัก แม้เวลาจะน้อย แต่ก็ต้องทำให้เต็มที่และมีความสุขไปพร้อมกัน


“ทำอะไร ทำให้มันตรงไปตรงมา” แนวคิดจากพ่อส่งถึงลูก ๆ 

 

คุณพ่อมักใช้ทุกบทสนทนาเป็นบทเรียนชีวิตสำหรับเรา ท่านสอนให้เรารู้จักตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจน พยายามอย่างเต็มที่ และใช้เวลาอย่างคุ้มค่าที่สุด

 

แต่ในขณะเดียวกัน ท่านก็ได้รับอิทธิพลจากคุณย่า ซึ่งเป็นคนเคร่งครัดมาก ทำให้ท่านเติบโตมากับแนวคิดที่ไม่เพียงมุ่งมั่นในความสำเร็จส่วนตัว แต่ยังให้ความสำคัญกับการตอบแทนและยกระดับสังคมไปพร้อมกัน

 

หนึ่งในคำสอนที่ท่านย้ำเสมอคือ “ทำอะไร ทำให้มันตรงไปตรงมา” ทำด้วยความซื่อสัตย์และโปร่งใส อย่ามองแค่ผลกำไรที่เราจะได้รับ แต่ต้องมองด้วยว่า การกระทำนั้นส่งผลต่อสังคมอย่างไร

 

ท่านมักเตือนว่า “อย่ากอดแต่กำไร” แต่ให้มองว่าเราจะสร้างคุณค่าให้กับสังคมได้อย่างไร เพราะท้ายที่สุดแล้ว ธุรกิจจะยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อยืนอยู่บนพื้นฐานของความรับผิดชอบร่วมกับสังคม ซึ่งผมเองก็ซึมซับแนวคิดนี้มาตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้

 

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา