ไทยยังไร้คิวเจรจาสหรัฐ SME วิกฤต ต้องรัดเข็มขัดรักษาสภาพคล่อง
ไทยรอคิวเจรจาสหรัฐฯ หลังยื่นข้อเสนอไปได้รับคำชมจากรัฐมนตรีคลัง หากช้าเกินไป เสี่ยงสถานการณ์ย่ำแย่ SME ต้องรัดเข็มขัดรักษาสภาพคล่อง
KEY
POINTS
- ไทยยังรอคิวเจรจาสหรัฐฯ แต่สัญญาณดี หลังยื่น 5 ข้อเสนอเจรจาไปได้รับคำชมจากรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ
- รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ชี้หากต้นเดือนกรกฎาคม ยังไม่ถูกนัดเจรจา สุ่มเสี่ยงเพราะครบ 90 วันขยายเวลาขึ้นภาษี
- SME ต้องรัดเข็มขัดรักษาสภาพคล่อง ผู้ที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ลำบากกว่าใคร การหาตลาดใหม่ทำไม่ได้ทันที
หลังจากที่ความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีการตอบโต้กันไปมาเป็นระยะเวลาหลายเดือน การเจรจาล่าสุดนี้ถือเป็นสัญญาณแรกของการคลี่คลายความสัมพันธ์ ซึ่งระหว่างสองประเทศมหาอำนาจ ได้เห็นพ้องต้องกันที่จะระงับการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariffs) เป็นเวลา 90 วัน ซึ่งหมายความว่าทั้งสองฝ่ายจะลดภาษีศุลกากรตอบโต้ต่อกัน
โดยปัจจุบัน สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าตอบโต้จากจีนในอัตรา 145% ในขณะที่จีนเรียกเก็บภาษีศุลกากรสินค้าบางรายการจากสหรัฐฯ ในอัตรา 125% รายงานล่าสุดระบุว่าอัตราภาษีศุลกากรดังกล่าวน่าจะลดลงเหลือ 30% และ 10% ตามลำดับ
ในขณะที่ประเทศไทยยังไม่ได้รับการตอบรับในการนัดเจรจากับสหรัฐ แม้ว่าก่อนหน้านี้ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่าได้ส่งข้อเสนอ (proposal) ในการเจรจาถึงนายสกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ และเจมสัน กรีเออร์ ประธานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ซึ่งมีความคาดหวังว่าจะได้รับนัดเจรจาในเร็ว ๆ นี้
{"พิชัย" เปิด 5 ข้อเสนอเจรจา "สหรัฐฯ" หวังตอบรับใน 2 สัปดาห์}
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ให้ความเห็นกับ “โพสต์ทูเดย์” ต่อเรื่องนี้ว่า สถานการณ์สหรัฐ-จีน ตอนนี้มีความผ่อนคลายมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาต่างฝ่ายต่างสาดภาษีเข้าใส่กัน ไม่คุยกัน ทำให้มีผลกระทบกับทุกประเทศ อย่างน้อยที่สุดเรื่องซัพพลายเชนต่าง ๆ เพราะทั้งสองประเทศนี้ไม่ได้ผลิตสินค้าเองทุกอย่าง ต้องนำเข้าชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบจากประเทศอื่น ๆ ซึ่งการผ่อนคลายของสองมหาอำนาจ แม้ว่าภาพรวมจะดีขึ้น แต่อีกด้านก็เป็นแรงกดดันประเทศอื่น ๆ ที่ยังไม่ได้เจรจา รวมถึงไทยด้วย
ขณะที่หลายประเทศยังไม่ได้เริ่มเจรจากับสหรัฐ ตัวเลขภาษีที่ต้องจ่ายยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะประเทศไทยที่ปัจจุบันอยู่ที่ 36% สถานการณ์เช่นนี้กลายเป็นแรงกดดันให้ประเทศต่าง ๆ ต้องเร่งเปิดการเจรจาโดยเร็ว
อย่างไรก็ตาม การเริ่มต้นเจรจาไม่ได้ขึ้นอยู่กับฝ่ายที่ต้องการเสนอเท่านั้น เพราะต้องรอให้สหรัฐเป็นฝ่ายเปิดการนัดหมาย
ล่าสุด เมื่อวานนี้ (13 พ.ค.2568) นายสกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้กล่าวถึงแนวโน้มการจัดทำข้อตกลงกับหลายประเทศ ซึ่งมีชื่อประเทศไทยรวมอยู่ด้วย โดยระบุว่าไทยมีข้อเสนอที่ดี นั่นสะท้อนว่าไทยยังคงอยู่ในเรดาร์ของสหรัฐฯ และมีโอกาสที่จะได้เข้าสู่โต๊ะเจรจา แม้อาจยังไม่ใช่ในรอบถัดไปที่มีการนัด 20 ประเทศไว้แล้วก็ตาม
อย่างไรก็ดี ยังมีความหวังว่าไทยจะได้เข้าร่วมในรอบถัด ๆ ไป โดยข้อเสนอ 5 ข้อที่ไทยยื่นไปนั้นถือเป็นสัญญาณที่ดี ซึ่งในกระบวนการจัดทำข้อเสนอ ทางภาครัฐก็ได้หารือกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด เพื่อหาทางออกจากปัญหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐ หรือความกังวลเกี่ยวกับการสวมสิทธิ์ในประเทศ ซึ่งข้อเสนอทั้ง 5 ข้อได้ครอบคลุมประเด็นเหล่านี้ไว้แล้ว
แต่อย่างไรก็ตามในช่วงที่อยู่ในความไม่แน่นอนสูงแบบนี้ก็คงต้องติดตามทุกวัน ประเทศไหน มีพูดคุยอะไร เสนอผ่านไม่ผ่าน เพราะเหตุผลอะไร ก็ยังพอมีเวลาปรับรายละเอียดที่อยู่ในข้อเสนอได้ทัน
เอสเอ็มอีต้องเซฟตนเองในระยะนี้
นายวิศิษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถทำได้ในขณะนี้ คือการเร่งส่งออกสินค้าให้ทันก่อนที่สหรัฐฯ จะปรับขึ้นอัตราภาษี อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลในฝั่งผู้นำเข้าสินค้าปลายทางที่ยังไม่กล้าสั่งซื้อในปริมาณมาก
โดยเฉพาะผู้ส่งออกที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นหลักอาจต้องเผชิญกับความยากลำบากมากกว่า ในทางกลับกัน หากผู้ประกอบการมีตลาดส่งออกกระจายไปหลายประเทศ ก็ควรเร่งขยายการจัดส่งไปยังตลาดอื่นเพื่อลดความเสี่ยง
ทั้งนี้ วิธีดูแลธุรกิจที่ดีที่สุดในช่วงความไม่แน่นอนสูงคือการบริหารสต็อกสินค้าอย่างรอบคอบ พยายามผลิตให้น้อยสุด เป็นการเซฟตัวเองให้ปลอดภัยช่วงนี้ก่อน เพราะกำลังซื้อยังไม่แน่นอน ถ้าผลิตเยอะจะเป็นอันตรายมาก เดี๋ยวจะส่งผลไปยังสภาพคล่องด้วย เพราะว่าอยู่ดีๆ ไปขอกู้แบงก์เพื่อรักษาสภาพคล่อง ไม่ใช่ง่าย แบงก์ไม่ปล่อยง่าย นี่คือเรื่องที่เอสเอ็มอีต้องดูแลตนเองอย่างดี
การหาตลาดใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลา
นายวิศิษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้จะมีเสียงเรียกร้องให้เอสเอ็มอีเร่งหาตลาดใหม่ แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายหรือรวดเร็ว เพราะการเปิดตลาดใหม่ไม่ใช่ทำได้ใน 2 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน ต้องใช้เวลาเป็นปี ต้องเข้าร่วมงานแสดงสินค้า และเจรจากับลูกค้าอย่างน้อย 3-4 รอบกว่าจะปิดการขายได้ อย่างไรก็ตาม การขยายตลาดยังคงเป็นสิ่งจำเป็นในระยะกลางและระยะยาว
สำหรับสิ่งที่เอสเอ็มอีสามารถทำได้ในระยะสั้น ๆ นี้คือการรักษาสภาพคล่อง และใช้ตลาดเดิมที่มีอยู่ในประเทศอื่นให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่วนตลาดสหรัฐฯ หากยังสามารถส่งออกได้ในช่วงนี้ ก็ควรเร่งส่ง พร้อมทั้งสื่อสารกับลูกค้าอย่างชัดเจนว่า ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงที่สถานการณ์ภาษีมีความไม่แน่นอน
"ตอนนี้เราเหลือเวลาไม่มากนัก จีนคุยสหรัฐฯ แล้ว เขามีกำหนด 90 วันเช่นกัน แต่เป็นการเริ่มนับตั้งแต่เมื่อวันสองวันก่อน ซึ่งยาวกว่าของเรา หากต้นเดือนกรกฎาคมไทยยังไม่ได้รับนัดเจรจา ถือว่าเป็นความเสี่ยงแล้ว แต่ก็ยังเชื่อว่าทุกอย่างน่าจะจบได้เร็ว ผมว่าเร็วสุดคือดีสุด เพราะเป็นเรื่องของระยะเวลาในการส่งมอบด้วย”
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ยังคงผันผวนอย่างต่อเนื่อง การเจรจาที่เร็วไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป ไทยต้องติดตามว่าประเทศไหนเริ่มเจรจากับสหรัฐแล้วได้ผลหรือไม่ได้ผล เนื่องจากสถานการณ์กำลังเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และตอนนี้ประเทศที่ไม่คาดว่าจะได้เจรจาก่อนกลับกลายเป็นจีน
สินค้าภายในสหรัฐฯ มีราคาสูงอยู่แล้ว แต่เมื่อมีการปรับขึ้นภาษี ราคาก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้จีนได้เริ่มการเจรจาก่อน เพราะสหรัฐยังคงพึ่งพาจีนในหลาย ๆ ด้าน ยกตัวอย่างเช่น ซุปเปอร์มาร์เก็ตในสหรัฐฯ ที่มีสินค้าจีนอยู่ในสัดส่วนไม่น้อย บางแห่งมีสินค้าจีนมากถึง 10% หากสินค้าจากจีนมีราคาสูงจนไม่สามารถส่งออกได้ ก็จะเกิดการขาดแคลนสินค้าในตลาด


