คลังเตรียมเสนอ ครม. เสริมสภาพคล่องโครงการ PGS 11 ช่วยเอสเอ็มอี 5 หมื่นล้าน
พิชัย เผยคลัง-แบงก์ชาติเห็นพ้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังเศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าคาด ด้านคลังเตรียมออกมาตรการภาษีดึงดูดนักลงทุน-เสนอบสย.ค้ำประกันสินเชื่อ PGS11 วงเงิน 5 หมื่นล้าน ช่วยเอสเอ็มอีรายใหม่เข้าถึงสินเชื่อ เตรียมเสนอครม.เห็นชอบภายใน 2 สัปดาห์
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้เรียกหารือคณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางเศรษฐกิจ หลังสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ แถลงถึงอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ไตรมาสที่ 1 ปี 2567 ขยายตัวได้อยู่ 1.5% ต่อปี ซึ่งเป็นการเติบโตแบบชะลอตัวลงกว่าคาด และเป็นการขยายตัวโตต่ำสุดในอาเซียน พร้อมทั้งปรับลดจีดีพีปี 2567 จาก 2.7% เหลือ 2.5%
ทั้งนี้เห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพ มีพื้นฐานเศรษฐกิจที่ดีเศรษฐกิจไทยจึงไม่ควรขยายตัวต่ำกว่า 3.5% ต่อปี และเมื่อเที่ยบกับประเทศเพื่อนบ้าน คู่ค้าคู่แข่งประมาณ 10 ประเทศ จีดีพีเขาก็สูงกว่าเราเกือบทั้งนั้น โดยเติบโตประมาณ 4-6% จึงเป็นสัญญานยืนยันได้ว่าเศรษฐกิจไทยมีปัญหา และหาย้อนกลับไป จะพบว่า อัตราการขยายตัวของไทยที่ผ่านมาได้มีการปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมาร่วมหารือเพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว
“ ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโตต่ำ คือ กำลังการผลิตต่ำเราเหลือเพียง 57.2% มันต่ำเกินไป ก็เพราะผู้บริโภคไม่ซื้อ เพราะไม่มีรายได้ จึงไม่มีเงินซื้อสินค้า ดังนั้นเราต้องกระตุ้นการผลิตให้เพิ่มขึ้น จะทำให้เกิดการจ้างงาน กำลังซื้อก็จะมา ยืนยันว่าจะทำทุกวิถีทางให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นกว่านี้ แต่ยังไม่พอใจที่ตัวเลขจีดีพีไทยที่ 2.5% ศักยภาพไทยอย่างน้อยต้องโตได้ 3.5% ซึ่งปีนี้ เราเมีแผนที่จะตั้งงบฯเพิ่มเติม 122,000 ล้านบาท และปี 67 ตั้งไว้อีก 160,000 ล้านบาท รวมเกือบ 300,000 ล้านบาท ก็มาดูกันต่อไปว่า จะจัดอย่างไรให้อยู่ในวิสัยที่จะจัดได้ มีวินัยทางการเงินการคลัง ถึงจะตึงหน่อยแต่ก็ยังอยู่ในกรอบที่ทำได้“นายพิชัย กล่าว
อย่างไรก็ตามในส่วนของนาย ศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) ก็ได้เห็นปัญหาเศรษฐกิจ และมีความเห็นสอดคล้องว่า เศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องการแรงกระตุ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ส่วนเรื่องอัตราดอกเบี้ยนั้น เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) สำหรับการกำหนดกรอบเงินเฟ้อ ที่ปัจจุบันกรอบอยู่ที่ 1-3% ซึ่งเป็นเรื่องที่กระทรวงการคลังและแบงก์ชาติ อาจจะต้องมาหารือกันอีกรอบถึงกรอบเงินเฟ้อที่เหมาะสม เพื่อนำไปสู่การกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เหมาะสมต่อไป
ด้าน นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลัง และแบงก์ชาติมีความเห็นสอดคล้องกัน ได้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ในการเติมแหล่งทุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นผู้ค้ำประกันสินเชื่อ ผ่านโครงการ PGS 11 ซึ่งที่ประชุมอยู่ระหว่างพิจาราเพิ่มวงเงินจากเดิม 50,000 ล้านบาท โดยเตรียมนำเสนอครม.พิจารณาภายใน 1-2 สัปดาห์
“คลังและแบงก์ชาติ เห็นสอดคล้องกันในหลายเรื่อง แบงก์ชาติ จึงเสนอให้นำ บสย. มาค้ำประกันการกู้ เพื่อเติมแหล่งทุนให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยจะต้องพิจารณาให้ผู้ประกอบการรายใหม่ ที่ไม่เคยเข้าถึงสินเชื่อมาก่อนเป็นลำดับแรก” นายเผ่าภูมิกล่าว
ทั้งนี้ ปัจจุบัน สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ของธุรกิจขนาดใหญ่ เกิน 500 ล้านบาท ขยายตัว 3.3% แต่สินเชื่อที่มีวงเงินน้อยกว่า 500 ล้านบาท หดตัว -5.1% โดยระดับเงินกองทุน (BIS Ratio) อยู่ที่ 20.1% ระดับสภาพคล่อง Liquidity Coverage Ratio อยู่ที่ 202.5% และระดับ NPL coverage ratio อยู่ที่ 176.1%
ภาพเหล่านี้สะท้อนภาวะธนาคารมีเสถียรภาพมาก แต่เลือกปล่อยสินเชื่อเฉพาะธุรกิจใหญ่ แต่ SME กลับถูกจำกัดสินเชื่อ เพราะธนาคารไม่อยากรับความเสี่ยง ภาวะนี้ทำให้ SMEs ขาดน้ำหล่อเลี้ยง จนต้องปิดตัว ชะลอการผลิต หยุดการจ้างงาน กระทบเศรษฐกิจภาพรวม
นอกจากนี้ในที่ประชุม นายกรัฐมนตรียัง มีข้อสั่งการในการกระตุ้นเรื่องการท่องเที่ยว ดึงนักท่องเที่ยว ตะวันออกกลาง เข้ามาในช่วงโลว์ซีซั่น และกระทรวงการคลังมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองรองซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียด
นายจุลพันธ์ อมรวิวิฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า มาตการระยะปานกลาง เตรียมใช้มาตรการภาษีดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ในระยะถัดไป โดยที่ประชุม ครม. เศรษฐกิจ มอบหมายให้ทุกกระทรวง ทุกหน่วยงาน กลับไปทำการบ้านโดยจัดทำแผนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก่อนนำเสอนครม. เศรษฐกิจในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า
“ในส่วนของมาตรการด้านภาษีนั้น กระทรวงการคลัง จะเตรียมนำมาเสนอที่ประชุมรับทราบอีกครั้ง เช่น ภาษีสรรพสามิต เพื่อสนับสนุนกลไกของคาร์บอนเครดิต มุ่งสู่สังคมสีเขียว รวมทั้งยังหารือถึงพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เพื่อดำเนินการจัดเก็บภาษี Global Minimum Tax หรือการกำหนดให้ธุรกิจมีการเสียภาษีขั้นต่ำ ที่อัตรา 15% ตามข้อตกลงร่วมกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเป็นธรรมในด้านการจัดเก็บภาษีบริษัทข้ามชาติที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งจะเสนอครม. และนำเสนอเข้าสภาผู้แทนราษฎร ต่อไป”นายจุลพันธ์ กล่าว
สำหรับ การประชุมกระทรวงด้านเศรษฐกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในครั้งต่อไปเพื่อหารือด้านเศรษฐกิจ นายกจะเรียกประชุมในครั้งต่อไปอีก 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า โดยมีสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นเลขานุการร่วมเพื่อขับเคลื่อนประสานงานหน่วยงานต่าง ๆ ต่อไป


