posttoday

CPAXT ปี 67 ลุยขยายการสนับสนุน SME โชว์กำไรปี 66 โต 12% แตะ 8,640 ล้าน

15 กุมภาพันธ์ 2567

CPAXT กางแผนปี 67 ตั้งเป้ายอดขายโตต่อเนื่อง จากกลยุทธ์การขายนอกร้าน-ปรับโฉมและขยายสาขาเชิงรุกทั้งในประเทศ-ต่างประเทศ พร้อมขยายการสนับสนุน SME โชว์กำไรปี 66 โต 12% แตะ 8,640 ล้านบาท จ่ายเงินปันผลปี 66 ที่เหลือในอัตรา 0.39 บาท/หุ้น ขึ้น XD 5 เม.ย.67

นายธานินทร์ บูรณมานิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ 8,640 ล้านบาท เติบโต 12% จากปีก่อน และมีรายได้รวม 489,949 ล้านบาท เติบโต 4% จากปีก่อน 

โดยในไตรมาส 4/2566 ถือเป็นไตรมาสที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดในรอบปีที่ผ่านมา มีกำไรสุทธิ 3,282 ล้านบาท เติบโต 33% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และมีรายได้รวม 128,613 ล้านบาท เติบโต 4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน 

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานเติบโตจากปัจจัยบวกหลายด้าน อาทิ  (1) ยอดขายสาขาเดิม (Same Store Sale) และการเปิดบริการสาขาใหม่ พร้อมปรับโฉมสาขารูปแบบใหม่ที่มีต่อเนื่องทั้งปีของทั้งแม็คโคร-โลตัส  (2) การเพิ่มสัดส่วนยอดขายนอกสาขา ผ่านแอปพลิเคชัน Makro PRO, Lotus's SMART App และทีมนักขาย (B2B Salesforce) ที่เพิ่มขึ้น 38% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการขยายบริการจัดส่งสินค้าได้ในวันเดียว (Same Day Delivery) (3) สินค้าอาหารสดเติบโตดีอย่างต่อเนื่อง  (4) การเพิ่มพื้นที่ให้เช่าจากการปรับพื้นที่ศูนย์การค้า 

ล่าสุด เมื่อวันที่ 14 ก.พ.2567 คณะกรรมการบริษัทมีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 เพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2566 ในอัตรารวม 0.57 บาท/หุ้น เมื่อหักการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.18 บาท/หุ้น ที่บริษัทได้จ่ายไปแล้ว คงเหลือเป็นเงินปันผลที่จะจ่ายอีกในอัตรา 0.39 บาท/หุ้น กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 5 เม.ย.2567 และจ่ายเงินปันผล วันที่ 29 เม.ย.2567

CPAXT ปี 67 ลุยขยายการสนับสนุน SME โชว์กำไรปี 66 โต 12% แตะ 8,640 ล้าน

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทและบริษัทย่อย ตั้งเป้าหมายยอดขายโตต่อเนื่อง จากการขับเคลื่อนกลยุทธ์ในด้านต่างๆ ประกอบด้วย 

การขายนอกร้าน โดยมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนยอดขายรวมเป็น 15% ภายในปีนี้ ซึ่งการขายผ่านแอปพลิเคชัน คาดว่าจะโตแบบก้าวกระโดด จากการเพิ่มความหลากหลายของสินค้า พัฒนาด้านบริการ และการขยายพื้นที่ให้บริการลูกค้าด้วยการใช้จุดแข็งของธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกที่มีสาขารวมกันกว่า 2,600 แห่งทั่วประเทศ เป็นจุดกระจายและจัดส่งสินค้า กลยุทธ์เชิงรุกที่สำคัญคือการเดินหน้าพัฒนาทีมนักขายนอกร้านกว่า 1,400 คน ที่มีความเข้าใจ เข้าถึงลูกค้า เพื่อให้บริการแก่กลุ่มลูกค้ผู้ประกอบการได้อย่างครอบคลุม 

ตอกย้ำความแข็งแกร่งด้านอาหารสด ต่อยอดพัฒนาอาหารพร้อมปรุง และอาหารพร้อมทาน รวมทั้งการสรรหาสินค้าอุปโภคบริโภคที่หลากหลาย เพื่อสร้างความแตกต่างหลากหลาย พร้อมตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ (Private Label) 

วางแผนปรับโฉมสาขา และขยายสาขาเชิงรุก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างเครือข่ายศูนย์กลางชุมชนให้เป็นศูนย์รวมการใช้ชีวิตแบบสมาร์ทของคนทุกวัย โดยปีนี้เตรียมขยายในหลายรูปแบบและขนาดต่างๆ ตามกลุ่มลูกค้าแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ ในส่วนของแม็คโครวางแผนขยาย 6-8 สาขา ส่วนโลตัสเตรียมขยายสาขาใหม่ในประเทศไทยและมาเลเซียมากกว่า 100 สาขา

นอกจากนี้ การปรับโครงสร้างภายในกลุ่มธุรกิจ โดยการผนึกกำลังธุรกิจค้าส่งแม็คโคร และธุรกิจค้าปลีกโลตัส มาอยู่ภายใต้บริษัทเดียวกันนั้น ยังเป็นการนำศักยภาพของทั้ง 2 แบรนด์มาสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการกิจการและการบริหารทรัพยากร ลดความซับซ้อนของโครงสร้างการถือหุ้นและโครงสร้างองค์กรภายในกลุ่มบริษัท 

อีกทั้งขยายการสนับสนุนเกษตรกรท้องถิ่น ผู้ผลิตรายย่อย และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) โดยขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืนครอบคลุมทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เห็นจากผลลัพธ์การสร้างรายได้ สร้างอาชีพให้ผู้คนในสังคม 

โดยปีที่ผ่านมามีการสร้างงานผ่านหลายมิติกว่า 90,000 ราย ด้านเกษตรกรท้องถิ่น แม็คโคร-โลตัส สนับสนุนรับซื้อผักและผลไม้จากเกษตรกรกว่า 9,800 ล้านบาท รวมทั้งจัดกิจกรรมอบรมถ่ายทอดความรู้ในการพัฒนาทักษะ เพิ่มศักยภาพให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ 

รวมทั้งเดินหน้าโครงการเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมด้านต่างๆ อาทิ การใช้พลังงานสะอาด อาหารดีพี่ให้น้อง อาหารอิ่มสุข และกิจกรรมช่วยเหลือสังคมอีกมากมาย เรียกว่ารวมพลังแบบคูณสอง ตอกย้ำเจตนารมณ์การเป็นองค์กรที่ดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน