d-station ปลุกนักธุรกิจรุ่นใหม่ ปั้นรายได้ดิจิทัลสตาร์ทอัพสู่ท้องถิ่น
ดีป้า เผย โครงการ d-station ใน 5 จังหวัด ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นกว่า 200 ล้านบาทต่อปี ชูจุดเด่นระบบนายหน้า ประหยัดงบลงทุน สินค้าเชื่อถือได้ มีราคากลาง ไม่ถูกหลอก เตรียมขยายโครงการทั่วประเทศ
นายณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการ d-station ว่า ขณะนี้ทั้ง 5 จังหวัด ประกอบด้วย นครราชสีมา บุรีรัมย์ นครสวรรค์ ประจวบคีรีขันธ์ และระยอง เริ่มสร้างรายได้ในการขายสินค้าและบริการของ สตาร์ทอัพ ที่อยู่ในบัญชีบริการภาครัฐ บ้างแล้ว
ขณะนี้มีสตาร์ทอัพในระบบดังกล่าวแล้ว 8 บริษัท ประกอบด้วย 1.บริษัท โกลบอลเทคโนโลยีอินทิเกรเทด จำกัด ให้บริการผลิตภัณฑ์ด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ 2.AccRevo ให้บริการระบบบริหารจัดการบัญชี 3.iTAX ให้บริการเทคโนโลยีด้านการจัดการภาษี 4.บริษัท ฮอร์แกไนซ์ จำกัด ให้บริการ โปรแกรมบริหารจัดการหอพัก 5.บริษัท ธารนิคอล จำกัด ให้บริการซอฟต์แวร์สำหรับร้านนวด-สปา 6.บริษัท โนเทโร่ จำกัดให้บริการเทคโนโลยีด้านการเรียนดนตรี 7.บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และ 8.บริษัท สยาม อินโน ซิตี้ จำกัด ให้บริการแพลตฟอร์มด้านสมาร์ทซิตี้
สำหรับรูปแบบธุรกิจของโครงการ d-station นั้น ดีป้า จะเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ นักธุรกิจรุ่นใหม่ ที่มีกิจการร้านกาแฟ หรือ ร้านค้าในชุมชน ในท้องถิ่น อยู่แล้ว เพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายในการแนะนำสินค้าของสตาร์ทอัพ เมื่อขายได้นักธุรกิจท้องถิ่นจะมีรายได้ในรูปแบบของส่วนแบ่งรายได้ คาดว่าแต่ละสาขาจะมีรายได้ต่อเดือนอยู่ที่ 100,000 บาท หรือ ปีละ 12 ล้านบาท คิดเป็นสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจทั้งผู้ใช้งานในพื้นที่ และสตาร์ทอัพส่วนกลาง 40 ล้านบาทต่อปี เมื่อรวมกัน 5 สาขา จะช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ 200 ล้านบาทต่อไป และในอนาคต ดีป้าต้องการให้เกิดโครงการ d-station ทั่วประเทศ
นายณัฐพล กล่าวว่า d-station จะทำหน้าที่เสมือน ‘ร้านสะดวกซื้อดิจิทัล’ โดยมี Digi-preneur เป็นผู้ช่วยให้คำแนะนำ เป็นที่ปรึกษา ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านดิจิทัล และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์/บริการของเครือข่ายดิจิทัลสตาร์ทอัพที่เหมาะสมกับบริบทของผู้ใช้งานในแต่ละกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ SMEs ผู้ประกอบการรายย่อย อย่างพ่อค้าแม่ค้า หาบเร่ แผงลอย รวมถึงเกษตรกร ชุมชนในชนบท และวิสาหกิจชุมชน
กระบวนการดังกล่าวนอกจากจะเป็นการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนและธุรกิจท้องถิ่นแล้ว ยังเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้เกิดการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในระดับพื้นที่ด้วยเทคโนโลยี/บริการดิจิทัล
นอกจากนี้ยังเป็นการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้กับดิจิทัลสตาร์ทอัพและผู้ให้บริการดิจิทัลสัญชาติไทย อีกทั้งเป็นการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลแก่กลุ่มผู้ใช้งานระดับท้องถิ่น เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ยกระดับประสิทธิภาพการผลิตได้สะดวกยิ่งขึ้น และนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า รวมถึงเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ยุคดิจิทัล ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศไทย
โครงการนี้ จะทำให้สินค้าของสตาร์ทอัพสามารถมีตลาดได้เองตามกลไกตลาด เพราะคนขายย่อมอยากได้ส่วนแบ่งรายได้ รัฐไม่ต้องจ้างคน ไม่ถูกหลอก และสามารถขอคำปรึกษาได้ ขณะที่ผู้ประกอบการเองก็สามารถมั่นใจได้ว่า สินค้าและบริการในบัญชีบริการดิจิทัลได้รับการรับรอง และราคามีมาตรฐาน


