5 โรคยอดฮิตแห่งปี 2568 'โรค NCDs' นำโด่ง จับตา 'ภูมิแพ้' จากปัญหา PM2.5
รพ.วิมุต เผย 5 โรคยอดฮิตแห่งปี 2568 จากการเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล พบโรคที่เกี่ยวข้องกับ NCDs นำโด่ง ในขณะที่ 'ภูมิแพ้' ตามมาติดๆ จากปัญหา PM2.5
KEY
POINTS
- โรงพยาบาลวิมุตเปิดเผย 5 โรคยอดฮิตปี 2568 ได้แก่ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง หวัดและโรคทางเดินหายใจ และออฟฟิศซินโดรม
- กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ครอง 3 อันดับแรก โดยมีสาเหตุหลักจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนไทย เช่น การบริโภคที่ไม่สมดุล การขาดการออกกำลังกาย และความเครียด
- โรคภูมิแพ้และโรคระบบทางเดินหายใจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาฝุ่น PM2.5 และสภาพอากาศที่แปรปรวน
โรงพยาบาลวิมุต เปิดข้อมูลภาพรวมผู้ป่วยปี 2568 พบว่า คนไทยยังคงเข้ารับการรักษาจำนวนมากจากโรคที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและปัจจัยแวดล้อม โดยเฉพาะกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งไม่เพียงเป็นปัญหาสาธารณสุข แต่ยังเป็นความเสี่ยงเชิงโครงสร้างต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาว
สำหรับ 5 โรคหรือกลุ่มโรคที่มีจำนวนผู้ป่วยมากที่สุด ได้แก่
- โรคความดันโลหิตสูง
- โรคเบาหวาน
- ภาวะไขมันในเลือดสูง
- โรคหวัดและโรคทางเดินหายใจ
- 5.กลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม
โดย 3 อันดับแรกเป็นกลุ่มโรค NCDs ซึ่งสะท้อนปัญหาสุขภาพจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนไทยอย่างชัดเจน ทั้งการบริโภคอาหารที่ไม่สมดุล การออกกำลังกายน้อย และความเครียดสะสม
ขณะที่โรคหวัดและภูมิแพ้มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับสภาพอากาศที่แปรปรวนและปัญหาฝุ่น PM2.5 ส่วน ออฟฟิศซินโดรม กลายเป็นโรคประจำตัวของคนวัยทำงานในยุคเศรษฐกิจเร่งรีบ ที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอเป็นเวลานานและขาดการเคลื่อนไหว
นายแพทย์สุวาณิช เตรียมชาญชูชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวิมุต กล่าวว่า “ปัจจัยที่ทำให้โรคทั้ง 5 กลุ่มนี้กลายเป็นโรคยอดฮิตในปี 2568 มาจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของสังคมไทย คนเมืองต้องใช้ชีวิตเร่งรีบ ทำงานหลายบทบาท มีเวลาพักผ่อนและดูแลตัวเองน้อยลง
ขณะเดียวกันพฤติกรรมการกินยังคงพึ่งพาอาหารสำเร็จรูป อาหารแปรรูป และเครื่องดื่มหวานเป็นหลัก ซึ่งเป็นตัวเร่งสำคัญของโรค NCDs
ส่วนปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย ฝนตกสลับร้อน และปัญหาฝุ่น PM2.5 ในช่วงฤดูหนาว ส่งผลโดยตรงต่อโรคระบบทางเดินหายใจและภูมิแพ้ ขณะที่ออฟฟิศซินโดรมสะท้อนต้นทุนสุขภาพของแรงงานยุคดิจิทัลที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอวันละหลายชั่วโมง และหากพฤติกรรมเหล่านี้ยังไม่เปลี่ยน แนวโน้มในปี 2569 โรคดังกล่าวจะยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และอาจพบผู้ป่วยในอายุน้อยลง”
นอกจากนี้ นพ.สุวาณิช ยังกล่าวด้วยว่าแม้โรคเหล่านี้จะพบได้บ่อย แต่สิ่งที่น่ากังวล คือ อาการเริ่มต้นมักไม่ชัดเจน
โรคความดัน เบาหวาน และไขมันในเลือดสูง อาจไม่มีอาการในระยะแรก หรือแสดงเพียงอาการเล็กน้อย หากปล่อยไว้โดยไม่ตรวจคัดกรอง อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและค่าใช้จ่ายด้านการรักษาที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต
ขณะที่โรคหวัดและภูมิแพ้ หากมีอาการไอ จาม น้ำมูกเรื้อรัง หรือแน่นหน้าอกบ่อยครั้ง อาจสะท้อนผลกระทบจากมลพิษทางอากาศ
ส่วนออฟฟิศซินโดรมที่เริ่มจากอาการปวดเมื่อยเล็กน้อย หากละเลย อาจพัฒนาเป็นอาการปวดเรื้อรัง และส่งผลต่อทั้งคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพการทำงาน” นายแพทย์สุวาณิช กล่าวสรุป
ทั้งนี้ โรงพยาบาลวิมุตย้ำว่า การตรวจสุขภาพประจำปีไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่สูญเปล่า แต่คือการลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว ยิ่งตรวจพบเร็ว ยิ่งมีโอกาสป้องกันและดูแลโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น.


