เปิด 9 วิจัยทางการแพทย์ที่ ‘น่าจับตาที่สุด’ แห่งปี 2025
รู้จัก 9 วิจัยทางการแพทย์พลิกชีวิตมนุษย์ที่จะเป็นเทรนด์การแพทย์ที่ ‘น่าจับตาที่สุด’ แห่งปี 2025 คัดเลือกโดย วารสารการแพทย์ชั้นนำในสหรัฐ
JAMA หรือ The Journal of the American Medical Association วารสารการแพทย์ชั้นนำระดับโลก จัดพิมพ์โดย สมาคมแพทย์อเมริกัน ได้คัดเลือก 9 งานวิจัยทางการแพทย์ ที่ถือได้ว่า ‘น่าจับตาที่สุด’ แห่งปี 2025 เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา
การคัดเลือกนี้ครอบคลุมงานวิจัยและการทดลองทางคลินิก 9 เรื่อง ซึ่งเผยแพร่ออนไลน์ครั้งแรกระหว่างเดือนตุลาคม 2024 ถึงกันยายน 2025 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นงานวิจัยที่เป็น ‘ประเด็นร้อนแรงที่สุด ณ ขณะนี้’ และเกี่ยวข้องโดยตรงกับโรคที่มีความสำคัญต่อผู้ป่วย แพทย์ และระบบสาธารณสุข
1. ยา GLP-1 ไม่ใช่แค่ลดน้ำหนัก แต่ลดการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลว
เดิมที ยา GLP-1 (Glucagon-like Peptide-1) เป็นกลุ่มยาที่เลียนแบบฮอร์โมนตามธรรมชาติในลำไส้ ใช้รักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และลดน้ำหนัก เพราะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและลดความอยากอาหาร
ทั้งนี้ ภาวะหัวใจล้มเหลวส่วนหนึ่งเป็นผลจากโรคอ้วนและเบาหวานชนิดที่ 2 (เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต) ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั่วโลก แม้โลกนี้จะมีอัตราการเสียชีวิตสูง แต่กลับมีทางเลือกการรักษาที่ลดการต้องเข้าไปนอนในโรงพยาบาลหรือการเสียชีวิตได้ไม่มากนัก
JAMA รายงานว่าในปีที่ผ่านมามีการวิเคราะห์ข้อมูลและการศึกษากลุ่มตัวอย่างซึ่งมีผู้เข้าร่วมกว่า 58,000 คน พบว่าผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าว หากเริ่มใช้ยากลุ่ม GLP-1 จะมีความเสี่ยงต่อการนอนโรงพยาบาลจากภาวะหัวใจล้มเหลวหรือการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ ลดลงมากกว่า 40%
โดย JAMA มองว่ารายงานชิ้นนี้จะทำให้ยา GLP-1 ที่โด่งดังด้านลดน้ำหนักไปได้ไกลกว่านั้นมาก เพราะมันสามารถลดการเสียชีวิตและเจ็บป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาลจากโรคหัวใจได้นั่นเอง
2. วัคซีนงูสวัดลดความเสี่ยงสมองเสื่อม
งานวิจัยเชิงสังเกตจากออสเตรเลียที่ศึกษาประชากรกว่า 100,000 คน เสนอหลักฐานใหม่ว่า วัคซีนป้องกันโรคงูสวัดอาจช่วยลดความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อม
โดยพบว่าภายในระยะเวลา 7 ปี ผู้ที่มีสิทธิ์รับวัคซีนมีโอกาสได้รับการวินิจฉัยภาวะสมองเสื่อมน้อยลงเกือบ 2% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีน
JAMA มองว่าผลลัพธ์นี้ช่วยลดปัญหาอคติต่อการรับวัคซีน และสนับสนุนสมมติฐานว่าวัคซีนงูสวัดเป็นมาตรการที่มีต้นทุนต่ำแต่ให้ผลตอบแทนสูงในการลดภาระโรคสมองเสื่อมในอนาคต
3. การประเมิน AI ทางการแพทย์ยังไม่ตอบโจทย์ความจริงนัก
การทบทวนงานวิจัยเกี่ยวกับ AI ในการแพทย์กว่า 500 เรื่อง พบว่า การประเมิน AI ทางการแพทย์ยังมีข้อจำกัดอยู่มาก
ด้วยว่าเพียงประมาณ 5% ของงานวิจัยใช้ข้อมูลผู้ป่วยจริง และส่วนใหญ่เน้นทดสอบความรู้ทางการแพทย์ เช่น การตอบข้อสอบหรือการวินิจฉัยโรค มากกว่าสิ่งที่แพทย์ต้องการจริงๆ คืองานธุรการที่ช่วยลดภาระงานของแพทย์ เช่น การเขียนเวชระเบียน การสั่งยา หรือการจัดการรหัสเบิกจ่าย เพื่อให้แพทย์ดูแลผู้ป่วยมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ประเด็นด้านความเป็นธรรม อคติ และความปลอดภัยของ AI ยังถูกประเมินน้อยมาก โดยมีการเสนอให้มีมาตรฐานกลางในการประเมิน AI ทางการแพทย์ โดยเน้นข้อมูลโลกจริงและงานที่สร้างคุณค่าสูงต่อระบบสุขภาพ
4. การตรวจจีโนมทารกแรกเกิด
โครงการ GUARDIAN (Genomic Uniform-screening Against Rare Disease in All Newborns) เป็นการศึกษาทารกแรกเกิดกว่า 4,000 ราย จาก 6 โรงพยาบาลในนิวยอร์ก พบว่าการตรวจจีโนมแบบมุ่งเป้า (targeted genome sequencing) สามารถตรวจพบโรคที่รักษาได้ซึ่งการคัดกรองมาตรฐานไม่สามารถตรวจพบ
โดยการตรวจจีโนมแบบมุ่งเป้า (Targeted Genome Sequencing) คือการอ่านรหัสพันธุกรรม (DNA) โดยพุ่งเป้าไปที่ยีนที่เกี่ยวข้องกับโรคบางชนิดที่สามารถรักษาได้
ทารกเกือบ 4% ได้ผลตรวจเป็นบวก และกว่า 92% ของผลบวกเป็นโรคที่ไม่อยู่ในชุดการคัดกรองมาตรฐาน เช่น กลุ่มอาการภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่อาจทำให้หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้ ( Long QT) , โรควิลสัน และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง (SCID) ซึ่งบางกรณีสามารถรักษาได้ทันทีและช่วยชีวิตผู้ป่วยไว้ได้
5. ไลฟ์สไตล์ช่วยชะลอความเสื่อมของสมองได้
การทดลอง US POINTER Trial ศึกษาผู้สูงอายุราว 2,100 คน ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม เปรียบเทียบระหว่างการปรับพฤติกรรมด้วยตนเอง กับ การปรับพฤติกรรมสุขภาพที่มีผู้เชี่ยวชาญกำกับ
ทั้งสองกลุ่มมีการทำงานของสมองดีขึ้น แต่กลุ่มที่ได้รับการดูแลแบบมีระบบหรือมีผู้เชี่ยวชาญคอยกำกับอยู่ จะมีพัฒนาการดีกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
ตอกย้ำว่าการป้องกันภาวะสมองเสื่อมนั้น ไม่ใช่แค่การบอกให้ผู้ป่วยไปทำเอง แต่ต้องมี โปรแกรมการดูแลที่เข้มข้นและมีการติดตามผล เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างยั่งยืน
6. เกณฑ์ให้เลือดในผู้บาดเจ็บสมอง
การทดลองแบบสุ่มในผู้ป่วยบาดเจ็บสมองเฉียบพลันประมาณ 800 คน พบว่า การให้เลือดเมื่อระดับฮีโมโกลบินต่ำกว่า 9 กรัมต่อเดซิลิตร ให้ผลลัพธ์ทางระบบประสาทที่ดีกว่าการรอให้ต่ำกว่า 7 กรัมต่อเดซิลิตร ผลลัพธ์นี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแนวทางการดูแลผู้ป่วยในหอผู้ป่วยวิกฤตด้านระบบประสาททั่วโลก
7. เฝ้าระวังแทนผ่าตัดในมะเร็งเต้านมแบบ DCIS ความเสี่ยงต่ำ
การศึกษา COMET พบว่า ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้น DCIS หรือ เป็นมะเร็งเต้านมในระยะที่เซลล์ผิดปกติยังอยู่แค่ภายในท่อน้ำนมและยังไม่ลุกลามออกไปจากท่อ (ไม่ใช่มะเร็งลุกลาม) ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ
การเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดให้ผลลัพธ์ไม่ด้อยไปกว่าการรักษามาตรฐานในการป้องกันมะเร็งลุกลาม และช่วยลดการผ่าตัดโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะการตัดเต้านม
8. วัคซีนตับอักเสบบีแบบใหม่สำหรับผู้ติดเชื้อ HIV
การทดลอง BEe-HIVe Trial พบว่าวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีที่ใช้สารเสริมภูมิคุ้มกันแบบ CpG สามารถช่วยให้ผู้ติดเชื้อ HIV ที่ไม่เคยตอบสนองต่อวัคซีนแบบเก่า สามารถสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบบีได้สำเร็จ ถือเป็นทางเลือกใหม่ที่สำคัญในการป้องกันโรคตับอักเสบเรื้อรังในกลุ่มคนที่ติดเชื้อ HIV
9. Lorundrostat ความหวังใหม่ของผู้ป่วยความดันโลหิตดื้อยา
การทดลอง Launch-HTN Trial แสดงให้เห็นว่ายาลอรันโดรสแตต (lorundrostat) ซึ่งเป็นยาชนิดใหม่ สามารถลดความความดันโลหิตได้อย่างมีนัยสำคัญในผู้ป่วยที่ใช้ยาหลายชนิดแล้วยังควบคุมความดันไม่ได้ หรือดื้อต่อยาความดันโลหิตอื่นๆ ที่ผ่านมา
อ้างอิง
https://jamanetwork.com/journals/jama/fullarticle/2842894?utm_source=chatgpt.com


