"แก๊งคอลเซ็นเตอร์" อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ยังระบาดหนัก!
ACSC เผย "แก๊งคอลเซ็นเตอร์" อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ยังระบาดหนัก! รอบสัปดาห์เข้าระงับเหยื่อโอนเงิน 37 ราย ยอดเงินกว่า 7 ล้านบาท
ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ภายใต้การอำนวยการ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร. เปิดสถิติคดีและความเสียหายในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
หลังมีการดำเนินการสืบสวนจับกุมพร้อมช่วยเหลือเหยื่อจากการถูกหลอกลวงภายใต้ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ตั้งแต่วันที่ 7-13 ธ.ค.68 มีคดีที่รับแจ้งเข้ามาผ่านทาง Thaipoliceonline
- จำนวน 6,934 คดี
-มูลค่าความเสียหาย 427,627,007 บาท (เฉลี่ย 61.09 ล้านบาทต่อวัน)
ซึ่งคดีที่รับแจ้งรอบนี้ลดลงจากห้วงวันที่ 30 พ.ย.- 6 ธ.ค. 68 จำนวน 419 คดี แต่กลับพบว่ามูลค่าความเสียหายเพิ่มขึ้นกว่า 16,341,500 บาท พบว่าเป็นความเสียหายเฉลี่ยต่อคดีที่มีแนวโน้มสูงขึ้น
หากนับเชิงปริมาณ ของคดีที่มีการแจ้งเข้ามา อันดับ 1. ยังคงเป็นการหลอกซื้อขายสินค้าออนไลน์ ที่มีจำนวนมากถึง 62.8 เปอร์เซ็นต์ โดยคนร้ายเน้นหลอกจำนวนมาก กระจายตัวกว้าง แม้ว่ามูลค่าต่อคดีจะไม่สูงนัก
แต่ก็ยังเป็นภัยคุกคามวงกว้างที่เกาะกระแสเทศกาลนิยม(อย่างในช่วงปลายปี หรือ Double Day เช่น 12.12) จำเป็นต้องแจ้งเตือนประชาชนให้ตรวจสอบเครดิตร้านค้าในช่วงมหกรรมลดราคาอย่างเข้มข้นและระวังเพจปลอมที่สวมรอยจัดโปรโมชั่น ขณะที่อันดับ 2. คือการหลอกโอนเงินเพื่อรับรางวัล และอันดับที่ 3. คือการหลอกให้โอนหารายได้พิเศษ เช่นเดียวกับสัปดาห์ที่แล้ว
ขณะที่หากเทียบในเชิงมูลค่าความเสียหาย
อันดับ1.ยังคงเป็นของ คดีหลอกโอนเงินเพื่อรับรางวัลฯ
อันดับที่2. ยังคงเป็นการหลอกลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ เช่นเดียวกับสัปดาห์ที่แล้ว แต่ที่เปลี่ยนแปลงคือ
อันดับ 3. กลายเป็นการข่มขู่ทางโทรศัพท์ ที่แซงการหลอกให้โอนเงินเพื่อหารายได้พิเศษขึ้นมา
การวิเคราะห์จากภาพรวมสถานการณ์พบว่า แม้ว่าจำนวนคดีจะลดลง แต่มูลค่าความเสียหายที่มากขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าคนร้ายเน้นการโจมตี “หวังผลสูงมากขึ้น” แม้ว่าตัวเหยื่อจะลดลงก็ตาม ซึ่งแพลตฟอร์มที่ถูกใช้ในแผนประทุษกรรม ยังคงเป็น FACEBOOK ที่ครองแชมป์ ที่คนร้ายใช้ติดต่อเหยื่อ ด้วยจำนวน 3,033 ครั้ง (ลดลงจากสัปดาห์ก่อนที่มี 3,274 ครั้ง)
แต่ในทางกลับกันในแง่ความเสียหายสูงสุดกลับพบในกลุ่ม “ช่องทางอื่นๆ” มากที่สุด รองลงมาเป็นการโทรศัพท์ (Call Center) ซึ่งในสัปดาห์นี้พบว่าภัยจากการโทรศัพท์ (Call Center) มีความอันตรายในแง่ “ความสูญเสียต่อราย” สูงขึ้นอย่างชัดเจน จนมียอดความเสียหายแซงหน้า FACEBOOK ซึ่งอาจเกิดจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีรูปแบบการหลอกลวงที่ซับซ้อนหรือข่มขู่ที่รุนแรงขึ้น
สำหรับแผนประทุษกรรมคนร้ายที่ถูกหยิบขึ้นมาใช้ล่อลวงผู้เสียหายในสัปดาห์นี้ เป็นการหลอกลวงโดยอิงสถานการณ์ปัจจุบันกำลังมาแรง โดยประเด็นไหนที่กำลังพูดถึงในสังคมจะถูกนำมาเป็นกลโกงอย่างรวดเร็ว
- การซื้อของแถมภารกิจ สินค้ายอดฮิตอย่างนมผง,เครื่องใช้ไฟฟ้า,ทองคำราคาถูก, เสื้อผ้ามือสอง และแจกของฟรี (เสื้อออกกำลังกาย, ต้นไม้) คนร้ายจะลงโฆษณาขายของราคาถูกหรือแจกฟรี เมื่อเหยื่อทักไปจะถูกเข้า Line Group หรือให้แอดไลน์ส่วนตัว ก่อนอ้างว่าต้อง “ทำกิจกรรม” หรือ “สะสมแต้ม” ก่อนจะส่งสินค้าหรือเพื่อให้ได้ราคานั้น
โดยให้โอนเงินสำรองจ่ายเพื่อกดไลค์/กดออเดอร์สินค้า แล้วจะได้เงินคืนพร้อมคอมมิชชัน สุดท้ายถอนเงินไม่ได้ ,การกู้เงินทิพย์ แก้ไขข้อมูล เริ่มจากเหยื่อต้องการกู้เงินผ่านแอปฯหรือลิงก์(มักปลอมเป็นธนาคาร หรือสินเชื่อชื่อแปลกๆ เช่น Speoto Beste ,พลอยรับพลัส)
แต่เมื่ออนุมัติวงเงินแล้ว จะถอนเงินไม่ได้ คนร้ายจะอ้างว่า “เหยื่อกรอกเลขบัญชีผิด” หรือ “ข้อมูลผิดพลาด” ระบบเลยล็อก ต้องโอนเงินค่าปลอดล็อกหรือค่าแก้ไขข้อมูล หรือค่าวางมัดจำเข้าไปก่อน ซึ่งเป็นข้ออ้างคลาสสิกที่ใช้ซ้ำๆตลอดทั้งสัปดาห์
- แก๊งคอลเซ็นเตอร์ Video Call ชุดตำรวจ ครั้งนี้คนร้ายยกระดับความน่าเชื่อถือด้วยการ Video Call โดยแต่งกายชุดตำรวจรวจ และจัดฉากหลังเป็นสถานีตำรวจ(ปลอม) ทั้งยังอ้างว่าเหยื่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับ “บัญชีม้า” หรือ “การฟอกเงิน” จากพัสดุตกค้าง หรือจากการเปิดเบอร์มือถือ ก่อนกดดัน บังคับให้โอนเงิน เพื่อ “ตรวจสอบเส้นทางการเงิน” และห้ามบอกบุคคลที่สามเด็ดขาด
- การหลอกให้รักแบบHybrid (Romance Scam Mutation) ที่รูปแบบเดิมจะส่งของขวัญติดด่านศุลกากร ต้องจ่ายภาษี เป็นการใช้แอปหาคู่ หรือTiktok เข้ามาจีบจนเชื่อใจ แล้วชวน “ลงทุน”(เทรดทอง,คริปโต) ผ่านแอปฯปลอมหรือลิงก์ปลอม ท้ายที่สุดก็ถอนเงินไม่ได้ อ้างต้องจ่ายภาษี
นอกจากนี้เพจ Facebook “ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์” หรือ ACSC ได้มีการรวบรวมเว็บไซต์ Scammer ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบเว็บไซต์ต้องสงสัย ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ได้นำข้อมูลเว็บไซต์เหล่านี้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อปิดกั้นไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเคสรับแจ้งผ่านทางศูนย์ ACSC และสามารถประสานงานร่วมกันกับทุกภาคส่วน ประกอบกับประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่เข้าตรวจสอบพร้อมช่วยเหลือเหยื่ออย่างทันท่วงที
โดยเป็นการเข้าตรวจสอบทั้งหมด24 เคส และเราสามารถช่วยเหลือรวมทั้งระงับการโอนเงินของผู้เสียหายก่อนจะโอนเงินไปยังบัญชีของมิจฉาชีพได้ทั้งหมดจำนวน 37 ราย คิดเป็นจำนวนเงินกว่า 7,041,708 บาท สามารถจับกุมได้ 8 คดี โดยมีเคสที่น่าสนใจ ดังนี้
เคสที่ 1 เจ้าหน้าที่ warroom ศูนย์ ACSC ประสานตำรวจสภ.สุไหงโกลก เข้าช่วยเหลือผู้เสียหายเป็นชาย อายุ 63 ปี หลังพบโฆษณาในเฟซบุ๊ก ชักชวนให้ลงทุน อบรมการซื้อขายหุ้น เมื่อผู้เสียหายทักเข้าไปสนใจ แอดมินเชิญเข้ากลุ่มไลน์
จากนั้นได้ชวนลงทุนในแพลตฟอร์มปลอมผู้เสียหายตัดสินใจโอนเงินไปครั้งแรกจำนวน 61,000 บาท คนร้ายอ้างว่าได้กำไร แต่ไม่มีเงินเข้ามาในบัญชีจริง แต่คนร้ายหลอกต่อเนื่องอ้างสารพัดเหตุผล สุดท้ายผู้เสียหายโอนเงินไปรวม 18 ครั้ง มูลค่ากว่า 5,375,211 บาท เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงอธิบายว่านั่นเป็นมิจฉาชีพพร้อมพาไปแจ้งความ
เคสที่ 2 ศูนย์ ACSC ประสานตำรวจ สภ.สามพราน เข้าช่วยเหลือผู้เสียหายเป็นหญิง วัย 50 ปี ทันทีหลังพบว่ามีการโอนเงินไปยังบัญชีบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งเป็นบัญชีม้า (รับโอนเงินจากการหลอกลวงโดยไม่ได้มีการทำธุรกิจจริง) ก่อนจะทราบว่าเมื่อวันที่ 14 พ.ย.2568 ได้มีคนร้ายใช้ไลน์ ชื่อ "บอม เบ 100" ทักหาผู้เสียหาย พูดคุยลักษณะหลอกให้รัก โดยไม่มีการเปิดกล้องหรือพบตัวกัน
กระทั่งโน้มน้าวจนผู้เสียหายเชื่อใจคนร้ายได้ชักชวนให้ลงทุนทำธุรกิจในลักษณะขายของออนไลน์ โดยอ้างว่าจะได้ผลตอบแทน 20% จากเงินที่ลงทุนไป ซึ่งผู้เสียหายได้โอนเงินลงทุนไป จำนวน 3 ครั้ง ยอดรวม 140,000 บาท
เคสที่ 3 ศูนย์ ACSC ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี เข้าช่วยเหลือชายสูงอายุ หลังถูกคนร้ายโทรศัพท์มาอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่จากกรมชลประทาน ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ผู้เสียหายเคยทำงานอยู่ และปัจจุบันเกษียณแล้ว โดยหลอกว่าให้แอดไลน์เพื่อรับข้อมูลข่าวสารจากกรมชลประทาน
โดยเป็นการแอดไลน์ผ่านเบอร์โทรคนร้ายหลังจากนั้นได้หลอกให้ผู้เสียหายเข้าแอปฯกรุงไทย ก่อนหลอกให้ทำตามขั้นตอน คือการเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษ จากนั้นก็ลวงให้โอนเงินไปยังบัญชีคนร้าย จำนวน 385,910 บาท ก่อนที่ผู้เสียหายจะรู้ตัว คนร้ายได้ยกเลิกข้อความที่เคยคุยกัน แล้วออกจากไลน์ดังกล่าวทันที ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งติดตามสืบสวนต่อไป


