posttoday

คลัง ยันยุบสภาฯไม่สะดุดเศรษฐกิจ ชี้กระทบปี 69 วงจำกัด คาด GDP โต 2%

15 ธันวาคม 2568

เอกนิติ ย้ำเศรษฐกิจไม่สะดุดแม้ยุบสภา เนื่องจากตั้งรัฐบาลใหม่กลางปี 69 รัฐใช้งบประมาณไปพลางได้ การลงทุนที่อนุมัติแล้วเดินหน้าต่อ คาดจีดีพีปี 2569 โต 2% จากอุปสงค์ในประเทศ ท่องเที่ยว และมาตรการ Quick Big Win

KEY

POINTS

  • กระทรวงการคลังยืนยันว่าการยุบสภาจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2569 ในวงจำกัด
  • คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2569 จะยังคงขยายตัวได้ประมาณ 2.0% โดยมีแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ในประเทศและการลงทุน
  • รัฐบาลรักษาการยังสามารถใช้งบประมาณไปพลางก่อน พร้อมดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ "Quick Big Win" เพื่อพยุงเศรษฐกิจในช่วงเปลี่ยนผ่าน

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงาน สัมมนา “Thailand Confidence 2026: ขับเคลื่อนความเชื่อมั่นสู่อนาคต” ว่า การยุบสภาเมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา ไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจจะหยุดเดิน จากการประเมินของกระทรวงการคลัง ผลกระทบจากการยุบสภาต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2569 มีแนวโน้มอยู่ในวงจำกัด เศรษฐกิจยังสามารถดำเนินกิจกรรมได้ต่อเนื่อง เนื่องจากคาดว่าการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะแล้วเสร็จภายในช่วงกลางปี 2569 และในระหว่างนั้น ภาครัฐยังสามารถใช้งบประมาณไปพลางก่อนได้ตามกรอบกฎหมาย

สำหรับการลงทุนภาคเอกชน ยอมรับว่าอาจมีนักลงทุนบางส่วนชะลอการตัดสินใจในระยะสั้น เพื่อรอความชัดเจนของรัฐบาลชุดใหม่ โดยเฉพาะโครงการที่พึ่งพานโยบายรัฐสูง อย่างไรก็ตาม การลงทุนที่ได้รับอนุมัติแล้ว การลงทุนเพื่อรองรับอุปสงค์ที่มีอยู่ และการลงทุนในห่วงโซ่อุปทานโลก ยังคงสามารถเดินหน้าต่อได้

โดยกระทรวงการคลังคาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2569 ยังสามารถขยายตัวได้ราว 2.0% โดยมีแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ภายในประเทศ การท่องเที่ยว และการลงทุนที่ได้รับการอนุมัติแล้ว จากเศรษฐกิจปีนี้โต 2% ไตรมาส 4 โตไม่ต่ำกว่า 1% จากเดิมที่ไม่มีมาตรการขยายตัวเพียง 0.3% 

นายเอกนิติ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้รัฐบาลจะอยู่ในสถานะรัฐบาลรักษาการ แต่ได้เดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นภายใต้นโยบาย “Quick Big Win” ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) และเริ่มดำเนินการแล้ว เม็ดเงินได้ไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจถึงมือประชาชนและผู้ประกอบการแล้ว ภายใต้แนวคิดหลัก กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว และการจายตัว เพื่อพยุงเศรษฐกิจในช่วงรอยต่อ และดูแลความต่อเนื่องของนโยบายที่ได้เริ่มต้นไว้ ผ่านทั้ง 5 เสาหลัก และ 1 ฐานราก คือ 1.พยุงกำลังซื้อและลดค่าครองชีพ 2.แก้ปัญหาหนี้เสียภาคครัวเรือน 3.เสริมสภาพคล่องและศักยภาพ SMEs ไทย 4.ส่งเสริมการออมและความมั่นคงทางการเงิน และ 5. เร่งลงทุนเพื่ออนาคต สร้างความเชื่อมั่นระยะกลาง-ยาว ส่วน 1 ฐานรากคือ วินัยการคลัง

โดยมาตรการ Quick Big Win มีเพียง เสาที่ 4 คือ  เรื่องการออมและความมั่นคงทางการเงิน ที่ไม่สามารถเสนอเข้าที่ประชุมครม.ได้ทันก่อนการยุบสภา อย่างไรก็ตาม ยังสามารถปลดล็อกบางมาตรการเพื่อเพิ่มทางเลือกการออมและยกระดับผลตอบแทนให้ประชาชนได้

โดยได้ผลักดัน โครงการ “พันธบัตรออม Plus” เปิดโอกาสให้ประชาชนลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลด้วยเงินเริ่มต้นเพียง 1,000 บาท ซื้อขายตามราคาตลาด ผ่านสาขาธนาคารและแพลตฟอร์ม Bond Connect ที่เชื่อมกับ SETTRADE พร้อมแผนออกพันธบัตรเป็นประจำทุกเดือนในปีหน้า เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยและปานกลางเข้าถึงการออมได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ ยังปรับปรุงสิทธิประโยชน์ทางภาษีของ ประกันชีวิตแบบบำนาญ ให้สามารถรับเงินก้อนเมื่อเริ่มรับบำนาญได้สูงสุด 30% ของเงินเอาประกัน เพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปีนี้ รวมถึงผ่อนคลายข้อจำกัดการลงทุนในตราสารทุนของบริษัทประกันภัย ช่วยเพิ่มโอกาสเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดทุนกว่า 2.5 แสนล้านบาท เพิ่มสภาพคล่องและผลตอบแทนให้ผู้เอาประกัน

ขณะเดียวกัน นายเอกนิติ ย้ำว่า นอกเหนือจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว วินัยการคลัง ถือเป็นรากฐานสำคัญของความเชื่อมั่น โดยรัฐบาลได้จัดทำ กรอบการคลังระยะปานกลาง (MTFF) อย่างเคร่งครัด ตั้งเป้าลดการขาดดุลไม่เกิน 3% ของ GDP ภายในปี 2572 คุมหนี้สาธารณะไม่เกิน 70% ต่อ GDP และเพิ่มความโปร่งใสทางการคลัง

ทั้งนี้ ได้เน้นย้ำการใช้จ่ายภาครัฐต้องไม่สร้างภาระการคลังในอนาคต และออกแนวทางกำกับการใช้มาตรา 28 เพื่อป้องกันการใช้งบประมาณซ้ำซ้อน พร้อมย้ำว่า วินัยการคลังไม่ใช่อุปสรรคต่อการพัฒนา แต่เป็นเงื่อนไขสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่น การลงทุน และการเติบโตอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจไทย

“สาระสำคัญคือ ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมือง แต่ระบบยังทำงานได้ การลงทุนยังเดินหน้าได้ และภาครัฐยังทำหน้าที่ดูแลความต่อเนื่องของเศรษฐกิจอย่างเต็มที่” นายเอกนิติกล่าว
 

ข่าวล่าสุด

ทรู คอร์ปอเรชั่น ดูแล 'พลังใจ' ประชาชนศูนย์พักพิงฯ ชายแดนไทย–กัมพูชา นอกเหนือจากสัญญาณ