posttoday

‘จีโนมิกส์’ ตัวเปลี่ยนเกมวงการแพทย์สู่ อนาคต ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ประเทศไทย!

04 ธันวาคม 2568

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี วิเคราะห์ ‘จีโนมิกส์’ คือตัวเปลี่ยนเกมวงการแพทย์สู่ อนาคต ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ประเทศไทย!

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี ลงบทความวิเคราะห์ในประเด็น ‘รุ่งอรุณแห่งพันธุศาสตร์ระดับจีโนม: 8 ปัจจัยพลิกโลก จากการแพทย์เชิงรุกสู่การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและ Soft Power ของชาติ’

ซึ่งเป็นการเรียบเรียงขึ้นจากการปรึกษาหารือและแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกระหว่าง ผอ.วรางคณา อิ่มอุดม และผู้ช่วย ผอ.ณัคนางค์ กุลนาถศิริ และทีมงานจากฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกับ ศ.เกียรติคุณ ดร. วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มและโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ของประเทศจากการแพทย์จีโนมิกส์

 

โพสต์ทูเดย์ จึงขอรวบรวมและสรุปประเด็นที่น่าสนใจ ที่สะท้อนความสำคัญของ ‘จีโนมิกส์’ ในประเทศไทยดังต่อไปนี้

 

จีโนมิกส์ Game Changer ของวงการแพทย์!

 

ในบทความกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของวงการแพทย์ ในเรื่องของ 'จีโนมิกส์' ซึ่งเริ่มมีบทบาทอย่างสำคัญตั้งแต่ปี ค.ศ.2001  เมื่อโครงการจีโนมมนุษย์ (Human Genome Project) ประกาศว่าสามารถอ่านลำดับพันธุกรรมของมนุษย์ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก

 

อย่างไรก็ตามในบทวิเคราะห์ดังกล่าวระบุว่า ลำดับพันธุกรรมที่เปรียบเหมือน ‘คัมภีร์แห่งชีวิต’ ดังกล่าว มีความจริงที่ซ่อนอยู่คือเป็นเพียง ‘ฉบับร่างที่ยังไม่สมบูรณ์’ เพราะมีส่วนที่ยังอ่านไม่ออกตกหล่นไปถึง 8%

 

 

“ 8% อาจดูเป็นตัวเลขที่น้อยนิด แต่ในระดับพันธุกรรมที่มีตัวอักษรนับพันล้านตัว ส่วนที่หายไปนั้นคือถิ่นที่อยู่ของยีนสำคัญและกลไกควบคุมโรคร้ายมากมาย”

 

อย่างไรก็ เมื่อเวลาล่วงเลยมา เทคโนโลยีได้พาข้ามขีดจำกัดนั้น นำไปสู่ยุค Genomic2.0 ที่จีโนมถูกถอดลำดับจนหมด  และนี่คือ 8 เป้าหมายสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่าทำไม จีโนมิกส์ กลายเป็น Game Changer ของวงการชีววิทยาและวงการแพทย์ ที่เปลี่ยนมนุษย์จากการเป็นเพียงแค่ ‘ผู้อ่าน’ เป็น ‘ผู้กำหนด’ ชะตาชีวิตตนเองได้อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน!

 

‘จีโนมิกส์’ ตัวเปลี่ยนเกมวงการแพทย์สู่ อนาคต ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ประเทศไทย!

 

1.กำเนิดจีโนมฉบับสมบูรณ์

 

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี กล่าวว่า รากฐานที่สั่นสะเทือนวงการที่สุดคือการประกาศความสำเร็จของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ "Telomere-to-Telomere (T2T) Consortium" ที่สามารถอ่านลำดับดีเอ็นเอได้ครบถ้วนสมบูรณ์

การมาถึงของเทคโนโลยี "Long-read sequencing" ที่อ่านสายดีเอ็นเอได้ยาวต่อเนื่องเหมือนการอ่านประโยคยาวๆ แทนที่จะอ่านทีละคำ ทำให้มนุษย์ได้มาซึ่ง "T2T-CHM13 Reference" พิมพ์เขียวฉบับสมบูรณ์ที่ไม่มีช่องว่างอีกต่อไป

 

ประโยชน์สำคัญ คือ

 

ทำให้บริเวณที่เคยถูกมองข้าม ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของโรคพันธุกรรมซับซ้อน

มะเร็ง และภาวะความผิดปกติของโครโมโซมได้ถูกมองเห็นชัดเจนมากยิ่งขึ้น

 

 

 

2. พบความหลากหลาย ไขปริศนาทำไมยาบางชนิดถึงใช้ได้ผลดีแค่กับคนบางกลุ่ม

 

จีโนมฉบับใหม่ที่ว่านี้ (T2T) ทำให้เห็นภาพที่ใหญ่ขึ้นว่า จีโนมของแต่ละบุคคลทั่วโลกนั้นแตกต่างกัน มันทำลายกรอบเดิมที่มักอ้างอิงพันธุกรรมจากคนผิวขาวเป็นหลัก แต่จีโนมฉบับใหม่ ทำให้มนุษย์เข้าใจถึงความหลากหลายทางชาติพันธุ์ที่ส่งผลต่อ การรับบริการทางการแพทย์ของคนในแต่ละเชื้อชาติ

 

"จีโนมฉบับใหม่ทำให้เราเห็นและช่วยไขปริศนาว่าทำไมยาบางชนิดถึงใช้ได้ผลดีกับคนบางกลุ่ม หรือทำไมบางชนชาติถึงเสี่ยงต่อโรคบางชนิดมากกว่า นี่คือก้าวสำคัญสู่ความเท่าเทียมทางสาธารณสุข”

 

‘จีโนมิกส์’ ตัวเปลี่ยนเกมวงการแพทย์สู่ อนาคต ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ประเทศไทย!

 

3. พบว่ามนุษย์ปัจจุบัน กับบรรพบุรุษมนุษย์ มีส่วนไหนแตกต่างหรือเหมือนกัน

 

บทความระบุว่า “จะรู้ว่าสิ่งใดผิดปกติ ต้องเข้าใจเสียก่อนว่าสิ่งใดคือปกตินี่คือหลักการที่ทำให้การศึกษาจีโนมของลิงใหญ่ (Apes) ซึ่งเป็นญาติสนิททางวิวัฒนาการของมนุษย์ มีความสำคัญยิ่ง”

 

นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า ถ้ารหัสพันธุกรรมตัวไหนจากสัตว์ต้นตระกูลดั้งเดิมของมนุษย์ ยังตกทอดมาสู่มนุษย์ แม้ว่าวิวัฒนาการจะผ่านมาหลายล้านปีแล้ว แสดงว่าตำแหน่งนั้นมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ที่เรียกว่า 'ตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์'

 

นั่นเท่ากับว่า..

 

ถ้ามนุษย์คนไหนมีการกลายพันธุ์ที่ตำแหน่ง ‘ศักดิ์สิทธิ์’ นี้

ย่อมมีโอกาสสูงที่จะก่อให้เกิดโรคร้ายแรง

 

 

“ ข้อมูลวิวัฒนาการเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นตัวกรองชั้นดี ช่วยให้แพทย์แยกแยะได้ว่า ความแปรผันทางพันธุกรรมที่พบในคนไข้ เป็นเพียงความแตกต่างตามธรรมชาติที่ไม่อันตรายหรือเป็นตัวการก่อโรค  ช่วยลดความสับสนในการวินิจฉัยโรคพันธุกรรมลึกลับได้อย่างแม่นยำ”

 

 

 

4. ความเข้าใหม่ เมื่อ ‘ดีเอ็นเอขยะ’ ไม่ใช่ไม่มีประโยชน์แต่อาจนำไปสู่การรักษาโรคอัลไซเมอร์หรือมะเร็งได้ในอนาคต

 

บทความระบุอีกด้วยว่า หนึ่งในการค้นพบที่หักล้างความเชื่อเดิมอย่างสิ้นเชิง คือเรื่องของ “ดีเอ็นเอขยะ" ที่กินพื้นที่มหาศาลในจีโนมและเคยถูกมองว่าไร้ประโยชน์ นั้นแท้จริงสำคัญมาก  ดีเอ็นเอส่วนนี้ทำหน้าที่เหมือน สวิตช์เล็กๆ จำนวนมหาศาล ที่คอยบอกว่า “ยีนไหนควรทำงาน” หรือ “ยีนไหนควรปิดตัว” เพื่อให้ร่างกายทำงานได้ถูกต้อง

นอกจากนี้ ยังพบว่า วิธีที่ดีเอ็นเอขดตัวอยู่ในนิวเคลียส ก็มีผลต่อการทำงานของยีนด้วย ถ้าขดตัวผิดตำแหน่ง เหมือนสายไฟพันกันผิดช่อง สวิตช์บางตัวอาจทำงานผิด ทำให้เกิดโรค เช่น โรคความจำเสื่อม หรือโรคมะเร็ง

 

การรู้ความจริงข้อนี้ทำให้การพัฒนายารุ่นใหม่ เปลี่ยนจากการแก้ปัญหาที่ “ผลลัพธ์” ไปแก้ที่ “ต้นเหตุ” คือไปแก้ไขที่ระบบที่คุมการเปิด–ปิดยีนโดยตรง ไม่ใช่มุ่งแค่ตัวโปรตีนอย่างที่เคยทำมา ทำให้มีโอกาสรักษาโรคได้แม่นยำขึ้น

 

‘จีโนมิกส์’ ตัวเปลี่ยนเกมวงการแพทย์สู่ อนาคต ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ประเทศไทย!

 

 

5. AI เข้ามาผสมโรง ทำให้การแพทย์ก้าวหน้ารวดเร็ว

 

เวลาที่ถอดรหัสพันธุกรรมออกมา มันจะประกอบไปด้วยข้อมูลพันธุกรรมที่มีขนาดใหญ่ระดับ Big Data ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถวิเคราะห์ความเชื่อมโยงทั้งหมดได้ทันเวลา

 

การเข้ามาของ AI และ Machine Learning ยุคใหม่ ทำให้ AI สามารถทำนายความน่าจะเป็นในการก่อโรค มันทำหน้าที่เหมือนนักสืบยอดอัจฉริยะที่สามารถชี้เป้าผู้ต้องสงสัยจากตัวเลือกนับหมื่น ให้เหลือเพียงตัวการเดียวได้ในเวลาอันสั้น

 

ความก้าวหน้านี้เปลี่ยนโฉมหน้าการรักษาโรคหายากในเด็ก จากที่เคยวินิจฉัยกันเป็นปีๆ เหลือเพียงไม่กี่วัน ช่วยชีวิตผู้ป่วยวิกฤตได้ทันท่วงที และทำให้ "การแพทย์แม่นยำ" เป็นสิ่งที่จับต้องได้จริงในทางคลินิก

 

 

 

6. พันธุกรรมจะกลายเป็นแนวทางการรักษาใหม่ของ ‘โรคที่ไม่เคยรักษาหาย’

 

บทความระบุอีกด้วยว่า ปลายทางสูงสุดของนักพันธุศาสตร์ นั่นคือการ "แก้ไข" ความผิดปกติที่ต้นเหตุ

 

วิวัฒนาการของเทคโนโลยี CRISPR-Cas9 ได้ก้าวข้ามจากการเป็นกรรไกรตัดดีเอ็นเออย่างหยาบๆ สู่ความละเอียดระดับศัลยกรรมโมเลกุล ฯลฯ

 

เทคโนโลยีเหล่านี้ลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง

และเปิดประตูสู่การรักษาโรคที่เคยถูกตราหน้าว่า "รักษาไม่หาย"

 

แนวคิดการรักษาแบบ "ทำครั้งเดียวจบ"  กำลังกลายเป็นความจริง เช่น การฉีดตัวแก้ไขยีนเข้าไปเพื่อลดระดับคอเลสเตอรอลตลอดชีวิต หรือการแก้ไขยีนเพื่อรักษาโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย นี่คือการปฏิวัติอุตสาหกรรมยา จากการผลิตยาเพื่อบรรเทาอาการเรื้อรัง ไปสู่การผลิต "วิธีรักษา" เพื่อให้หายขาด

 

 

 

7. ‘จีโนมิกส์’ อาชีพแห่งอนาคต

 

นอกจากนี้ โลกยุค Genomics 2.0 กำลังเปิดรับ "อาชีพแห่งอนาคต" ที่หลากหลายและต้องการคนที่มีทักษะเฉพาะด้าน ไม่ว่าจะเป็น

  • นักชีวสารสนเทศ / นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลจีโนม 
  •  ที่ปรึกษาทางพันธุศาสตร์ สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล หรือนักจิตวิทยาที่ต้องการอัปสกิล เพื่อเป็น "ล่าม" ผู้แปลภาษาพันธุกรรมที่ซับซ้อนให้เป็นภาษามนุษย์ 
  • แพทย์เวชศาสตร์วิถีชีวิต  สำหรับแพทย์ที่ต้องการอัปสกิลเพื่อนำข้อมูลจีโนมเชิงลึกมาออกแบบแผนการดูแลสุขภาพแบบ "เวลเนสเฉพาะบุคคล" 
  • วิศวกรแก้ไขจีโนม สำหรับนักวิทยาศาสตร์สายแล็บที่ต้องการอัปสกิล สู่เทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง CRISPR เพื่อออกแบบวิธีการรักษาแบบยีนบำบัดที่แม่นยำและปลอดภัยที่สุด
  • นักวิเคราะห์ความแปรผันทางพันธุกรรม สำหรับผู้ที่ช่างสังเกตและชอบงานวิเคราะห์ สามารถรีสกิลมาเป็นนักสืบพันธุกรรมเพื่อระบุสาเหตุของโรคหายากที่ซ่อนอยู่จากการอ่านผลแล็บ
  • นักกฎหมายและจริยธรรมเทคโนโลยีชีวภาพ  สำหรับนักกฎหมายหรือนักสังคมศาสตร์ที่ต้องการรีสกิลเข้าสู่โลกเทคโนโลยีเพื่อดูแลกติกา ให้มั่นใจว่าเทคโนโลยีจีโนมจะถูกใช้อย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม

 

‘จีโนมิกส์’ ตัวเปลี่ยนเกมวงการแพทย์สู่ อนาคต ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ประเทศไทย!

 

 

8. สร้าง Soft Power และโอกาสทางเศรษฐกิจ แค่ "เปลี่ยนกฎ" ก็ "เปลี่ยนเกม"

 

นอกเหนือจากมิติของการรักษาโรค ความก้าวหน้าของ Genomics 2.0 ยังเป็นกุญแจสำคัญในการสร้าง Soft Power ใหม่ให้กับประเทศ โดยการยกระดับจุดแข็งเดิมด้านการท่องเที่ยวและการบริการทางการแพทย์  ให้ล้ำหน้าไปอีกขั้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้วิสัยทัศน์นี้เป็นจริงได้ "เพียงชั่วข้ามคืน" คือนโยบายของรัฐ

 

บทความชี้ชัดว่า กุญแจสำคัญคือ ‘รัฐ’ โดยระบุว่า ความมั่นคงทางข้อมูล เป็นกฎระเบียบสำคัญที่รัฐต้องทำ โดยเฉพาะ

 

"การห้ามส่งข้อมูลพันธุกรรมหรือตัวอย่าง DNA ไปถอดรหัสในต่างประเทศ" นี่คือมาตรการที่แทบไม่ต้องใช้งบประมาณลงทุน แต่จะเป็นการบังคับให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศทันที"

 

ตัวอย่างที่เห็นผลชัดเจนที่สุดคือ กรณีการตรวจ NIPT (การตรวจคัดกรองความผิดปกติของโครโมโซมทารกในครรภ์) ของ สปสช. ที่มีนโยบายไม่อนุญาตให้ส่งตัวอย่างเลือดไปตรวจต่างประเทศ ผลลัพธ์ที่ตามมาทันทีคือบริษัทเจ้าของเทคโนโลยีต้องนำเครื่อง NGS (Next-Generation Sequencing) เข้ามาติดตั้งและเดินเครื่องในไทย

 

ทำให้ต้นทุนราคาน้ำยาและค่าตรวจร่วงลงจากเดิมหลักหมื่นบาท เหลือเพียงพันกว่าบาทเท่านั้น

สิ่งนี้ยืนยันได้ว่าเมื่อกฎระเบียบเอื้ออำนวย

เทคโนโลยีและราคาที่เข้าถึงได้จะตามมาเองโดยอัตโนมัติ

 

ซึ่งปรากฏการณ์นี้สอดคล้องกับแก่นของ รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ปี 2025 อย่างลึกซึ้ง ที่ชี้ว่า "นวัตกรรม" คือหัวใจสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนผ่านกระบวนการ "Creative Destruction" (การทำลายอย่างสร้างสรรค์) หรือ การเติบโตทางเศรษฐกิจมักเกิดขึ้นจาก การล้มสลายของระบบเก่า และ การเกิดขึ้นของสิ่งใหม่ ที่มีประสิทธิภาพกว่า

โดยกรณีศึกษาของไทยนี้สะท้อนภาพครบทั้ง 3 มิติของนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ได้แก่

 

  1. นวัตกรรมเทคโนโลยี การนำเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง NIPT หรือ mRNA มาใช้ นวัตกรรมทางธุรกิจและนโยบาย (Business & Policy) เช่น การที่ระบบ สปสช. (NHSO) ปรับเปลี่ยนกฎระเบียบเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มการเข้าถึง
  2.  นวัตกรรมทางสังคม เช่น การสร้างระบบดูแลสุขภาพที่ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม
  3. นอกจากนี้ ข้อมูลพันธุกรรมของคนไทยจะถูกปกป้องและสร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานทั้งบุคลากรทางการแพทย์และความต้องการตลาดนั้นสุกงอมเต็มที่แล้ว

 

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี มองว่า ผลลัพธ์ที่จะตามมาทันทีคือ ไทยจะกลายเป็นศูนย์กลางการแพทย์แม่นยำอย่างแท้จริง ดึงดูดผู้ป่วยทั่วโลกที่ต้องการการรักษาด้วยยามุ่งเป้า และยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพสู่การดูแลแบบ "เฉพาะบุคคลระดับจีโนม" ทั้งอาหาร วิตามิน และสปา สร้างมูลค่าสูงและดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ อีกทั้งเกิดการจ้างงานรายได้สูงและธุรกิจต่อเนื่องในห่วงโซ่อุปทาน สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสาธารณสุขอย่างยั่งยืนได้อีกด้วย

 

 

อ้างอิง

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี

https://www.facebook.com/share/p/1JcRkEfJhg/

ข่าวล่าสุด

นายกฯ ลั่นยึดพื้นที่คืนแล้ว ปัดใช้คนกลาง สั่ง กต.แจงอาเซียน