posttoday

สธ.จ่อออกประกันสุขภาพแบบ ‘ท็อปอัป’ สิทธิเดิม แก้ ’รพ.รัฐ ขาดทุน‘

15 ตุลาคม 2568

กางแผนการเงิน 'กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2569' ระบุจะดันค่า AdjRW จาก 8,000 เป็น 13,000 บาท จ่อสร้างกลไกเพิ่มนอกจากของบรัฐ ด้วยประกันสุขภาพ และคลินิกพรีเมียม!

นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ขึ้นเวทีเสวนาแนวทาง “การบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2569” ตอบคำถามสุดท้าย ตรงจุดว่าอีก 5-10 ปีข้างหน้าจะต้องเกิดอะไรขึ้น ด้วยประโยคที่ว่า จะบอกว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ต้องเริ่มที่ปัญหา และปัญหาคือ 'การเงิน'

 

" ผมมองที่ปัญหาการเงิน ซึ่งเป็นปัญหาเดียวกับ 3 ปีย้อนหลังที่ผ่านมา และมีภาพจากสื่อต่างๆ มากมายว่า ฐานะการเงินโรงพยาบาลมีปัญหามากมาย และขาดทุนมาขึ้นเรื่อยๆ เช่น โรงพบาบาลจะเจ๊งแล้ว  และจำเลยของกระทรวงสาธารณสุข คือ สปสช."

 

ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้แจงรายละเอียดงบประมาณของกระทรวงสาธารณสุข โดยระบุว่า งบประมาณสาธารณสุขนั้น อยู่ในส่วนของหลักประกันสุขภาพ 56%  ประกันสังคม 80% และสิทธิสวัสดิการ 20%

ส่วน EBITDA หรือรายได้ของโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่ปี 2561- 2567 พบว่าปี 2561 กำไรรวมทุกโรงพยาบาลอยู่ที่  1.2 หมื่นล้าน และลงมาติดลบเมื่อปี 2566  ส่วนปี 2567 กำไร 5 พันล้านบาท

" อย่างไรก็ตาม เมื่อดูจากเงินบำรุงโรงพยาบาลลบหนี้สิน จะพีคที่ช่วงโควิด 1 แสนล้าน แต่ตอนนี้ลดเหลือ 2 หมื่นล้าน ซึ่งดิ่งลงมาเรื่อยๆ ซึ่งเทรนด์ตัวนี้สอดคล้องกับข่าวที่ออกไป"

 

ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบรายได้ - ค่าใช้จ่ายปี 2567 พบว่า

  • กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีค่าใช้จ่ายมากกว่ารายได้ คิดเป็น 110% ของรายได้
  • กองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่ารายได้ คิดเป็น 79% 
  • กองทุนประกันสังคม มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่ารายได้ คิดเป็น 91%
  • กองทุนบริการอื่นๆ มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่ารายได้ คิดเป็น 79% ของรายได้

 

สธ.จ่อออกประกันสุขภาพแบบ ‘ท็อปอัป’ สิทธิเดิม แก้ ’รพ.รัฐ ขาดทุน‘

 

" สาเหตุก็เพราะว่ากองทุนอื่นๆ จ่ายค่า AdjRW สูงพอที่จะทำให้โรงพยาบาลมีกำไร  และเมื่อเอามาคำนวนรวมกัน เราจะพบว่า กระทรวงสาธารณสุขยังไม่ขาดทุน แม้ว่ากองทุนหลักประกันสุขภาพ จะติดลบ 1.8 หมื่นล้าน แต่ถัวเฉลี่ยตัวอื่น รวมๆ คือ ไม่ขาดทุน!" นพ.สมฤกษ์ระบุ

 

 

สรุปปัญหาด้านการพัฒนากองทุนหลักประกันสุขภาพให้ยั่งยืนนั้น ทางปลัดกระทรวงสาธารณสุข มองใน 4 ประเด็น ได้แก่

  1. สัดส่วนงบประมาณในส่วนของ สป.สธ. ในกองทุนต่างๆ ไม่เหมาะสม
  2. งบประมาณไม่เพียงพอต่อรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น EBITDA มีแนวโน้มลดลงและติดลบในบางปี
  3. ค่าแรงบุคคลไม่สะท้อนภาระงานและปัจจัยเศรษฐกิจในปัจจุบัน
  4. ยังไม่มี Business Model ช่องทางใหม่ๆ ในการหารายได้

 

ค่า AdjRW ต้นทางสำคัญของโรงพยาบาล

 

นพ.สมฤกษ์ กล่าวว่า ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเมื่อคิดเป็นเปอร์เซนต์ ต่อ GDP ของไทยในภาพรวมต้องมากกว่านี้ ซึ่งเมื่อหาตัวเลขมาเปรียบเทียบ เมื่อเทียบกับประเทศใน OECD  ประเทศไทยจะต่างอยู่ 7% ในขณะที่ค่าใช้จ่ายต่อหัวของประชากร จะพบว่า สิงคโปร์และ OECD สูงกว่าประเทศไทยอยู่มากเช่นกัน

คำถามคือควรจะเป็นตัวเลขเท่าไหร่?

 

" เมสเสจที่เราบอกกับรัฐบาลร่วมกับสปสช. คือ เราอยากจะบอกว่าการบริการเพิ่มขึ้นทุกปี เงินที่จัดสรรให้กระทรวงสาธารณสุขในการให้บริการไม่พอ เพราะฉะนั้นที่บอกว่าจัดสรรเงินไม่พอ ต้องมาดูวิธีการจัดสรรเงินจากสปสช. ว่ายังไง" 

 

สธ.จ่อออกประกันสุขภาพแบบ ‘ท็อปอัป’ สิทธิเดิม แก้ ’รพ.รัฐ ขาดทุน‘

 

กระทรวงสาธารณสุขคุยกับสปสช. ได้ทำวิจัยและพบว่า ประเทศไทยควรมีค่า AdjRW ที่ 13,000 บาท จากทุกวันนี้ที่ได้อยู่ราว 8,350 บาท 

 

" เราอยากขอที่ 10,000 บาทในปีหน้า แต่ว่าต้องทำให้รัฐบาลเห็นว่ามีบริการอะไรในการรักษาบ้าง หากเป็น 13,000 บาทจะทำให้คนในภูมิภาคได้รับบริการที่ทัดเทียมโรงพยาบาลแพทย์ และแก้ปัญหาเรื่องสมองไหลของบุคลากรทางการแพทย์ เพราะเขาจะได้รับค่าชดเชยที่ดีขึ้น

ทางกระทรวงจึงต้องลุกขึ้นมาดูว่าจะหารายได้เพิ่มที่ตรงไหน " ปลัดกระทรวงสธ.ระบุ

 

 

 

วิธีหารายได้เพิ่มจาก สธ. อุดส่วนต่าง เพิ่มประสิทธิภาพบริการและลดความเหลื่อมล้ำ

 

ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ยกตัวอย่างวิธีการที่ทางกระทรวงสาธารณสุขจะทำควบคู่ไปกับการทำงานร่วมกับ สปสช. เพื่อจัดการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้ยั่งยืน โดยมองว่าจะต้องมองหาว่าควรจะได้เงินเพิ่มจากทางไหน โดยมี 3 ประเด็นสำคัญได้แก่

 

  • ขยายบริการห้องพิเศษและบริการโฉมใหม่ของกลุ่มข้าราชการ ผ่าน PMC (พรีเมียมคลินิก) ของโรงพยาบาลหลักของเขตสุขภาพ ทั้งในและนอกเวลาราชการอีก 20%  เพื่อให้บริการกับกลุ่มที่อยากได้การบริการแบบพรีเมียมนอกเหนือจากชุดสิทธิประโยชน์
  • ปฏิรูประบบจัดสรรและบริการคนไข้ประกันสังคม ซึ่งมีทั้งเอกชนและรัฐบาล "เราพบว่าคนไข้ที่ป่วยมาอยู่ที่รัฐบาลและคนไข้ป่วยน้อยไปอยู่ที่เอกชน ซึ่งผมขอดูข้อมูลจริงๆ ว่าปรับยังไงได้บ้าง"  (เน้นสัดส่วนคนแข็งแรงต่อคนป่วยให้พอเหมาะ) 
  • แหล่งเงินนอกงบประมาณ ได้แก่ ประกันชีวิตเอกชน 20,000 ลบ.ต่อปี กลไกประกันสุขภาพสมัครใจ Top Up จากสิทธิประโยชน์เดิม 16,000 ลบ. ประกันนักท่องเที่ยว 40,000 ลบ. ประกันแรงงานและคนต่างด้าว 10,000 ลบ. ซึ่งจะใช้ Facility ของโรงพยาบาลรัฐ

 

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของการปรับบริการ โดยจะให้ทุกโรงพยาบาลใช้ Facility ให้คุ้มค่ามากที่สุด เช่น อัตราครองเตียงของโรงพยาบาลชุมชน อยู่ที่ 50% เราต้องจัดการบริการให้โรงพบาบาลชุมชน 80% ขึ้นไป  แพทย์ในจังหวัดสามารถดูแลรพ.ในชุมชนได้ และกระจายบริการไปที่โรงพยาบาลชุมชน ขณะที่โรงพยาบาลที่มีหมอเฉพาะทาง ลงไปดูโรงพยาบาลในจังหวัด และอาจารย์โรงเรียนแพทย์ จะต้องได้รับการเชิญไปตามภูมิภาคเพื่อเพิ่มมาตรฐานการบริการ เป็นต้น.

 

ข่าวล่าสุด

MIXUE ไทยบริจาค 1 ล้านบาท เร่งช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้