สธ.จ่อออกประกันสุขภาพแบบ ‘ท็อปอัป’ สิทธิเดิม แก้ ’รพ.รัฐ ขาดทุน‘
กางแผนการเงิน 'กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2569' ระบุจะดันค่า AdjRW จาก 8,000 เป็น 13,000 บาท จ่อสร้างกลไกเพิ่มนอกจากของบรัฐ ด้วยประกันสุขภาพ และคลินิกพรีเมียม!
นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ขึ้นเวทีเสวนาแนวทาง “การบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2569” ตอบคำถามสุดท้าย ตรงจุดว่าอีก 5-10 ปีข้างหน้าจะต้องเกิดอะไรขึ้น ด้วยประโยคที่ว่า จะบอกว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ต้องเริ่มที่ปัญหา และปัญหาคือ 'การเงิน'
" ผมมองที่ปัญหาการเงิน ซึ่งเป็นปัญหาเดียวกับ 3 ปีย้อนหลังที่ผ่านมา และมีภาพจากสื่อต่างๆ มากมายว่า ฐานะการเงินโรงพยาบาลมีปัญหามากมาย และขาดทุนมาขึ้นเรื่อยๆ เช่น โรงพบาบาลจะเจ๊งแล้ว และจำเลยของกระทรวงสาธารณสุข คือ สปสช."
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้แจงรายละเอียดงบประมาณของกระทรวงสาธารณสุข โดยระบุว่า งบประมาณสาธารณสุขนั้น อยู่ในส่วนของหลักประกันสุขภาพ 56% ประกันสังคม 80% และสิทธิสวัสดิการ 20%
ส่วน EBITDA หรือรายได้ของโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่ปี 2561- 2567 พบว่าปี 2561 กำไรรวมทุกโรงพยาบาลอยู่ที่ 1.2 หมื่นล้าน และลงมาติดลบเมื่อปี 2566 ส่วนปี 2567 กำไร 5 พันล้านบาท
" อย่างไรก็ตาม เมื่อดูจากเงินบำรุงโรงพยาบาลลบหนี้สิน จะพีคที่ช่วงโควิด 1 แสนล้าน แต่ตอนนี้ลดเหลือ 2 หมื่นล้าน ซึ่งดิ่งลงมาเรื่อยๆ ซึ่งเทรนด์ตัวนี้สอดคล้องกับข่าวที่ออกไป"
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบรายได้ - ค่าใช้จ่ายปี 2567 พบว่า
- กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีค่าใช้จ่ายมากกว่ารายได้ คิดเป็น 110% ของรายได้
- กองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่ารายได้ คิดเป็น 79%
- กองทุนประกันสังคม มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่ารายได้ คิดเป็น 91%
- กองทุนบริการอื่นๆ มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่ารายได้ คิดเป็น 79% ของรายได้
" สาเหตุก็เพราะว่ากองทุนอื่นๆ จ่ายค่า AdjRW สูงพอที่จะทำให้โรงพยาบาลมีกำไร และเมื่อเอามาคำนวนรวมกัน เราจะพบว่า กระทรวงสาธารณสุขยังไม่ขาดทุน แม้ว่ากองทุนหลักประกันสุขภาพ จะติดลบ 1.8 หมื่นล้าน แต่ถัวเฉลี่ยตัวอื่น รวมๆ คือ ไม่ขาดทุน!" นพ.สมฤกษ์ระบุ
สรุปปัญหาด้านการพัฒนากองทุนหลักประกันสุขภาพให้ยั่งยืนนั้น ทางปลัดกระทรวงสาธารณสุข มองใน 4 ประเด็น ได้แก่
- สัดส่วนงบประมาณในส่วนของ สป.สธ. ในกองทุนต่างๆ ไม่เหมาะสม
- งบประมาณไม่เพียงพอต่อรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น EBITDA มีแนวโน้มลดลงและติดลบในบางปี
- ค่าแรงบุคคลไม่สะท้อนภาระงานและปัจจัยเศรษฐกิจในปัจจุบัน
- ยังไม่มี Business Model ช่องทางใหม่ๆ ในการหารายได้
ค่า AdjRW ต้นทางสำคัญของโรงพยาบาล
นพ.สมฤกษ์ กล่าวว่า ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเมื่อคิดเป็นเปอร์เซนต์ ต่อ GDP ของไทยในภาพรวมต้องมากกว่านี้ ซึ่งเมื่อหาตัวเลขมาเปรียบเทียบ เมื่อเทียบกับประเทศใน OECD ประเทศไทยจะต่างอยู่ 7% ในขณะที่ค่าใช้จ่ายต่อหัวของประชากร จะพบว่า สิงคโปร์และ OECD สูงกว่าประเทศไทยอยู่มากเช่นกัน
คำถามคือควรจะเป็นตัวเลขเท่าไหร่?
" เมสเสจที่เราบอกกับรัฐบาลร่วมกับสปสช. คือ เราอยากจะบอกว่าการบริการเพิ่มขึ้นทุกปี เงินที่จัดสรรให้กระทรวงสาธารณสุขในการให้บริการไม่พอ เพราะฉะนั้นที่บอกว่าจัดสรรเงินไม่พอ ต้องมาดูวิธีการจัดสรรเงินจากสปสช. ว่ายังไง"
กระทรวงสาธารณสุขคุยกับสปสช. ได้ทำวิจัยและพบว่า ประเทศไทยควรมีค่า AdjRW ที่ 13,000 บาท จากทุกวันนี้ที่ได้อยู่ราว 8,350 บาท
" เราอยากขอที่ 10,000 บาทในปีหน้า แต่ว่าต้องทำให้รัฐบาลเห็นว่ามีบริการอะไรในการรักษาบ้าง หากเป็น 13,000 บาทจะทำให้คนในภูมิภาคได้รับบริการที่ทัดเทียมโรงพยาบาลแพทย์ และแก้ปัญหาเรื่องสมองไหลของบุคลากรทางการแพทย์ เพราะเขาจะได้รับค่าชดเชยที่ดีขึ้น
ทางกระทรวงจึงต้องลุกขึ้นมาดูว่าจะหารายได้เพิ่มที่ตรงไหน " ปลัดกระทรวงสธ.ระบุ
วิธีหารายได้เพิ่มจาก สธ. อุดส่วนต่าง เพิ่มประสิทธิภาพบริการและลดความเหลื่อมล้ำ
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ยกตัวอย่างวิธีการที่ทางกระทรวงสาธารณสุขจะทำควบคู่ไปกับการทำงานร่วมกับ สปสช. เพื่อจัดการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้ยั่งยืน โดยมองว่าจะต้องมองหาว่าควรจะได้เงินเพิ่มจากทางไหน โดยมี 3 ประเด็นสำคัญได้แก่
- ขยายบริการห้องพิเศษและบริการโฉมใหม่ของกลุ่มข้าราชการ ผ่าน PMC (พรีเมียมคลินิก) ของโรงพยาบาลหลักของเขตสุขภาพ ทั้งในและนอกเวลาราชการอีก 20% เพื่อให้บริการกับกลุ่มที่อยากได้การบริการแบบพรีเมียมนอกเหนือจากชุดสิทธิประโยชน์
- ปฏิรูประบบจัดสรรและบริการคนไข้ประกันสังคม ซึ่งมีทั้งเอกชนและรัฐบาล "เราพบว่าคนไข้ที่ป่วยมาอยู่ที่รัฐบาลและคนไข้ป่วยน้อยไปอยู่ที่เอกชน ซึ่งผมขอดูข้อมูลจริงๆ ว่าปรับยังไงได้บ้าง" (เน้นสัดส่วนคนแข็งแรงต่อคนป่วยให้พอเหมาะ)
- แหล่งเงินนอกงบประมาณ ได้แก่ ประกันชีวิตเอกชน 20,000 ลบ.ต่อปี กลไกประกันสุขภาพสมัครใจ Top Up จากสิทธิประโยชน์เดิม 16,000 ลบ. ประกันนักท่องเที่ยว 40,000 ลบ. ประกันแรงงานและคนต่างด้าว 10,000 ลบ. ซึ่งจะใช้ Facility ของโรงพยาบาลรัฐ
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของการปรับบริการ โดยจะให้ทุกโรงพยาบาลใช้ Facility ให้คุ้มค่ามากที่สุด เช่น อัตราครองเตียงของโรงพยาบาลชุมชน อยู่ที่ 50% เราต้องจัดการบริการให้โรงพบาบาลชุมชน 80% ขึ้นไป แพทย์ในจังหวัดสามารถดูแลรพ.ในชุมชนได้ และกระจายบริการไปที่โรงพยาบาลชุมชน ขณะที่โรงพยาบาลที่มีหมอเฉพาะทาง ลงไปดูโรงพยาบาลในจังหวัด และอาจารย์โรงเรียนแพทย์ จะต้องได้รับการเชิญไปตามภูมิภาคเพื่อเพิ่มมาตรฐานการบริการ เป็นต้น.


