ท็อป จิรายุส มองวิกฤตสุขภาพปัญหาใหญ่ ชู '30 บาทป้องกันทุกโรค'
ท็อป จิรายุส ลั่น ‘วิกฤตสุขภาพ’ ใหญ่กว่าวิกฤตการเงิน อีก 5 ปี ไทยเป็น Super Aging Economy ชี้ Longevity ไทยเหนือกว่าคู่แข่ง
KEY
POINTS
- ท็อป จิรายุส ห่วงวิกฤตสุขภาพ หนักกว่าวิกฤตการเงิน โดยมีสาเหตุจากโครงสร้างประชากรที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยขั้นสุด (Super Aging Economy)
- เสนอให้เปลี่ยนแนวคิดจาก "30 บาทรักษาทุกโรค" เป็น "30 บาทป้องกันทุกโรค" เน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในระยะยาว
- มองว่าจุดแข็งโอกาสใหม่ของไทยคือเศรษฐกิจการมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ (Longevity Economy) และ Wellness S-Curve ใหม่ของประเทศ
"วิกฤตสุขภาพ ภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ หนักกว่าวิกฤตการเงิน"
จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด กล่าวถึงประเด็นนี้ในสัมมนา “A Call for Adaptation The Sustainability in Trade & Industry” จัดโดยกรุงเทพธุรกิจในงาน Sustainability Expo 2025 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
วิกฤตที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ไม่ใช่เรื่องวิกฤตการเงินหรือหนี้ครัวเรือน แต่คือ วิกฤตสุขภาพ ที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยมีปัจจัยมาจาก ปัญหาโครงสร้างประชากร ปัจจุบันเด็กเกิดใหม่เหลือเพียง 500,000 คนต่อปี จากปกติที่เคยผลิตได้ปีละ 1 ล้านคน (หายไป 50%) ในขณะที่อัตราการเสียชีวิตสูงกว่าเกิด ปีที่ผ่านมา จำนวนผู้เสียชีวิตในประเทศไทยมีมากกว่าคนเกิดแล้ว
ส่งผลให้ภายใน 5 ปีข้างหน้า ประเทศไทยอาจจะถูกเรียกว่า Super Aging Economy ซึ่งหมายความว่าคนไทย 1 ใน 5 คน หรือ 20% จะมีอายุเกิน 65 ปี
ความยั่งยืนของสังคม หากไม่มีคนรุ่นใหม่เข้ามาช่วย แบกรับกองทุนประกันสังคม และกองทุนสุขภาพ ระบบดังกล่าวอาจ "ระเบิดแน่นอน" เนื่องจากคนเกษียณไม่ได้ปรับอายุขึ้น แต่อยู่ได้นานขึ้น แต่เป็นการอยู่แบบติดเตียง
ทั้งนี้ ระบบสาธารณสุข การรักษาตามอาการ ไม่แก้ที่ต้นเหตุระบบสุขภาพแบบดั้งเดิมเน้นการกดอาการ แต่ไม่ไปแก้ที่ต้นตอของปัญหา อีกทั้งชุดตรวจสุขภาพประจำปีล้าสมัย ชุดตรวจสุขภาพประจำปีที่ใช้กันในปัจจุบันเป็นชุดที่ใช้มาตั้งแต่ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และไม่เคยมีการอัปเดตเลย
การเปลี่ยนไปสู่ ‘30 บาท ป้องกันทุกโรค’
จิรายุส กล่าวว่า ประเทศไทยควรเปลี่ยนแนวคิดจากการรักษาไปสู่การป้องกัน โดยเปรียบเทียบกับโมเดลของประเทศฟินแลนด์
นโยบายเดิมเป็น "นโยบาย เก่ากึ๊ก" ที่ส่งเสริมให้คนทำลายสุขภาพตนเอง เพราะคิดว่ามีระบบรักษาพยาบาลรองรับ อย่างฟินแลนด์เริ่มพูดถึงแนวคิด "30 บาท ป้องกันทุกโรค"
ค่าใช้จ่ายในการป้องกันกับค่าใช้จ่ายในการรักษามีความห่างกันหลายเท่า ยกตัวอย่าง การแจกวิตามินให้กับประชากร 10,000 คนในฟินแลนด์ ใช้ค่าใช้จ่ายเท่ากับการรักษาคนไทยที่ป่วยเป็นมะเร็งแบบติดเตียงเพียง 1 คนเท่านั้น หากประเทศไทยไม่เปลี่ยนแปลงและขาดความรู้ด้านสุขภาพ กองทุนประกันสังคมจะเผชิญปัญหาร้ายแรง
ไทยใกล้ถึงจุด ‘Super Aging Economy’ ใน 5 ปี ประกาศ Longevity คือ S-Curve ใหม่เดียวที่ไทยเหนือกว่าคู่แข่ง
จิรายุส ยังได้เประเมินจุดอ่อนและจุดแข็งของประเทศไทยในอนาคต ดังนี้
1.วิกฤตโครงสร้างประชากร ไทยกำลังกลายเป็น ‘Super Aging’ โดยมองว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีชื่อเล่นใหม่ว่า "Super Aging Economy" ซึ่งหมายความว่า 1 ใน 5 ของคนไทย จะมีอายุเกิน 65 ปี
ไม่เท่านั้นยังมีความเหลื่อมล้ำกับอาเซียน เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน ประเทศไทยกำลังแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว โดยค่าเฉลี่ยอายุของคนในฟิลิปปินส์คือ 30 ปี และอินโดนีเซียคือ 25 ปี
2.ขาดแคลนบุคลากร S&Tประเทศไทยยังตามหลังประเทศคู่แข่งอย่างมากในด้านบุคลากรดิจิทัล เวียดนามสามารถผลิตคนในกลุ่ม Science and Technology Space ได้ถึง 500,000 คนต่อปี ในขณะที่ประเทศไทยผลิตได้เพียงหลักหมื่นคน ซึ่งห่างกันถึง 50 เท่า
ยอมรับว่า หากมองในฐานะคนไทยอย่างตรงไปตรงมา เมืองไทยไม่ได้เก่งเรื่อง Digital Economy และการเป็น Financial Hub ก็ยากที่จะแข่งขันกับกลุ่ม Midle East (ตะวันออกกลาง) หรือดูไบ
3.โอกาสทองใหม่ “Longevity Economy” ที่ไทยไม่แพ้ใคร
จิรายุส ชี้ว่า จุดแข็งของไทยที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็น S-Curve ใหม่ของโลกได้ คือ Wellness และ Longevity (การมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ) เพราะประเทศไทยมีทรัพยากรธรรมชาติที่โดดเด่น ทั้งทะเล ภูเขา อาหาร และพืชสมุนไพรที่ใช้ต่อยอดด้านสุขภาพได้ ขณะเดียวกันโลกก็กำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย คนมีเงินคือคนสูงอายุ และสิ่งที่พวกเขาต้องการซื้อคือ “เวลา” ในรูปแบบการมีชีวิตที่แข็งแรงและยืนยาวโจทย์สำคัญ คือทำให้ Health Span (ช่วงชีวิตที่สุขภาพดี) เท่ากับ Life Span (อายุขัย) ซึ่งไทยมีศักยภาพจะเป็นคำตอบให้กับตลาดโลกนี้


