สำรวจคนรอบข้าง 'สมองส่วนหน้าเสื่อม' หรือไม่? ชี้เสียชีวิตได้ใน 8 ปี
คนอายุ 45-65 ปีฟัง! สำรวจคนรอบข้างและตนเอง เข้าข่าย 'ภาวะสมองส่วนหน้าเสื่อม' หรือไม่? ชี้พฤติกรรมเด่น 'ไม่สามารถควบคุมพฤติกรรม-นึกคำพูดไม่ออก'
KEY
POINTS
- โรคสมองส่วนหน้าเสื่อมเกิดจากสมองส่วนหน้าฝ่อ พบมากในวัย 45-65 ปี มีอาการเด่น 2 ลักษณะคือปัญหาด้านพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป และปัญหาด้านการใช้ภาษา
- ภาวะนี้ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ การรักษาจึงเน้นการประคับประคองตามอาการ การใช้ยาควบคุมพฤติกรรม และการฟื้นฟูด้านการสื่อสาร
- ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัวว่าผิดปกติ คนใกล้ชิดจึงมีบทบาทสำคัญในการสังเกตอาการและพาไปพบแพทย์ โดยโรคอาจรุนแรงขึ้นจนทำให้เสียชีวิตได้ในเวลาเฉลี่ย 7-8 ปี
โรคสมองส่วนหน้าเสื่อมคืออะไร?
นายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคสมองส่วนหน้าเสื่อม เป็นโรคที่มีการฝ่อของสมองส่วนที่อยู่ด้านหน้า โดยประกอบไปด้วยสมองกลีบหน้า (frontal lobe) และสมองกลีบข้างส่วนหน้า (anterior temporal lobe) มีการเสื่อมถอยลงไป ซึ่งจะมีความแตกต่างจากสมองเสื่อมจากโรคอัลไซเมอร์ ที่มักจะมีการฝ่อที่สมองด้านหลัง
สาเหตุการฝ่อเกิดจากการสะสมของโปรตีนผิดปกติในสมอง ถ้ามีการสร้างโปรตีนที่ผิดปกติมากเกินไปหรือกลไกของร่างกายกำจัดได้ไม่ทัน จะทำให้เซลล์สมองเสียหายจนเกิดสมองฝ่อตามมา
โรคสมองส่วนหน้าเสื่อม เป็นโรคที่พบไม่บ่อย ซึ่งพบน้อยกว่าโรคอัลไซเมอร์ ส่วนมากอยู่ในช่วงอายุประมาณ 45-65 ปี โดยพบได้พอกันในเพศชายและหญิง
พฤติกรรมเด่น สำรวจตัวเอง เข้าข่ายหรือไม่?
โดยแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่
- ชนิดปัญหาพฤติกรรมเด่น ซึ่งจะเด่นที่ปัญหาด้านพฤติกรรม การไม่สามารถยับยั้งชั่งใจควบคุมตนเองได้ แสดงออกทางพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในที่สาธารณะ มีพฤติกรรมทำอะไรซ้ำ ๆ ไม่มีจุดหมาย และสูญเสียความสามารถในการวางแผนการทำงาน
- ชนิดปัญหาด้านการใช้ภาษาเด่น ซึ่งจะเด่นปัญหาในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร ผู้ป่วยจะมีปัญหานึกคำพูดไม่ออก อาจพูดติดขัดตะกุกตะกัก หรืออาจถึงขั้นสูญเสียการรู้ความหมายของคำที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
ทั้งนี้ เมื่อตัวโรคดำเนินไป สุดท้ายจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การเข้าสังคม และการทำงานเป็นอย่างมาก อาจถึงขั้นไม่สามารถพูดคุยสื่อสารทำความเข้าใจได้เลย ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ และโดยเฉลี่ยอาจเสียชีวิตในเวลาประมาณ 7-8 ปี
วิธีการรักษา- เน้นปรับพฤติกรรม ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
ว่าที่ร้อยตำรวจโทหญิง แพทย์หญิง นภา ศิริวิวัฒนากุล ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า การวินิจฉัยในปัจจุบัน เน้นการประเมินอาการเป็นสำคัญ ซึ่งผู้ป่วยมักจะไม่ทราบว่าตนเองมีอาการผิดปกติ ญาติหรือผู้ดูแลใกล้ชิดจึงเป็นส่วนสำคัญในการพาผู้ป่วยเข้าสู่กระบวนการรักษา
หากสังเกตว่าผู้ป่วยมีอาการดังกล่าว ควรรีบพบแพทย์สถานพยาบาลใกล้บ้านเพื่อประเมิน ส่วนที่ยากที่สุดคืออาการของผู้ป่วยมักคล้ายกับอาการของโรคทางจิตเวช ทำให้พลาดการวินิจฉัยโรคสมองเสื่อมไป
ปัจจุบันโรคนี้ยังไม่มียาที่รักษาให้หายขาด จึงเน้นการรักษาตามอาการและประคับประคองให้ผู้ป่วยยังช่วยเหลือตนเอง ญาติสามารถดูแลได้ง่าย มีคุณภาพชีวิตที่ดี ประกอบด้วยการรักษาด้วยยาควบคุมพฤติกรรมผิดปกติต่าง ๆ และการรักษาโดยไม่ใช้ยา โดยเน้นการปรับพฤติกรรม การหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่จะทำให้ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม
สำหรับปัญหาด้านภาษามีการฝึกโดยนักแก้ไขการพูดเพื่อฟื้นฟูให้สมองมีการปรับตัวให้ยังสื่อสารได้ การเสื่อมถอยชะลอลง กรณีผู้ป่วยที่มีอาการมากแล้วไม่สามารถพูดสื่อสารได้ดีอีก จะใช้การฝึกสื่อสารชดเชยทักษะที่สูญเสียไป เช่น การใช้อุปกรณ์สื่อสาร การฝึกใช้ภาษาท่าทาง หรือการเขียนผ่านกระดานหรืออุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ เพื่อสื่อสารแทน เป็นต้น
หากญาติหรือเพื่อนร่วมงานสงสัยมีคนใกล้ชิดป่วยด้วยภาวะนี้ สามารถปรึกษาแพทย์ประจำสถานพยาบาลใกล้บ้าน หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลเฉพาะทางได้ รวมถึงสถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข มีทั้งแพทย์ระบบประสาทและจิตแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้เป็นอย่างดี


