จุฬาฯ - สภากาชาดไทย ร่วมผลิต 'ยาต้านมะเร็งปอด' ในระดับอุตสาหกรรม
จุฬาฯ ผนึกกำลัง สภากาชาดไทย ผลักดัน “โครงการวิจัยและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ยาชีววัตถุ” เริ่มต้นที่การผลิต 'ยาต้านมะเร็งปอด' ในระดับอุตสาหกรรม!
KEY
POINTS
- จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและสภากาชาดไทยลงนามความร่วมมือเพื่อวิจัยและพัฒนา "ยาต้านมะเร็งปอด" ซึ่งเป็นยาชีววัตถุประเภทโมโนโคลนอลแอนติบอดี สู่การผลิตในระดับอุตสาหกรรม
- ความร่วมมือนี้เป็นการต่อยอดองค์ความรู้และงานวิจัยต้นแบบจากจุฬาฯ โดยอาศัยความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีการผลิตของสภากาชาดไทย
- โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อลดการพึ่งพายาจากต่างประเทศ สร้างความมั่นคงทางสุขภาพ และเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยชาวไทยเข้าถึงการรักษาที่จำเป็นได้มากขึ้น
ฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและสภากาชาดไทยร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางการวิจัยและพัฒนาเพื่อผลักดัน 'โครงการวิจัยและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ยาชีววัตถุ' วันนี้ (4 กันยายน 2568) ณ ห้อง 202 อาคารจามจุรี 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมี ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย เป็นประธานในพิธี พร้อมทั้งผู้บริหารระดับสูงจากทั้งสององค์กรร่วมเป็นสักขีพยาน ร่วมด้วยคณะนักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และสภากาชาดไทย พร้อมด้วยผู้แทนจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมในพิธี
เป้าหมายของโครงการนี้ เพื่อผลิต 'โมโนโคลนอลแอนติบอดี' ในระดับอุตสาหกรรม ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพที่ทันสมัย เพื่อใช้ในการรักษาโรคสำคัญของประเทศ ได้แก่ พิษงูเห่าและมะเร็งปอด
ผสานสองศักยภาพ ผลักดัน 'ยาต้านมะเร็งปอด' ในระดับอุตสาหกรรม
ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการต่อยอดความเชี่ยวชาญจาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มีองค์ความรู้และงานวิจัยในระดับห้องปฏิบัติการและวิจัยทางคลินิก ซึ่งสามารถพัฒนาจนได้ต้นแบบแล้ว โดย สภากาชาดไทย ซึ่งมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีการผลิตส่วนประกอบโลหิต วัคซีนและยาชีววัตถุในระดับอุตสาหกรรม รวมถึงบุคลากรที่มีประสบการณ์ในการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานการผลิตระดับสากล
โครงการนำร่องภายใต้ความร่วมมือในครั้งนี้ คือ การพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้ออุบัติซ้ำและอุบัติใหม่ และโมโนโคลนอลแอนติบอดี สำหรับยาต้านมะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดที่มีความจำเพาะสูง (ยาต้านมะเร็งปอด) ซึ่งเป็นโรคที่มีผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก และยังขาดแคลนทางเลือกในการรักษาที่เข้าถึงได้
ความสำเร็จของโครงการนี้ไม่เพียงช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้ายาจากต่างประเทศ แต่ยังเป็นการยกระดับขีดความสามารถของประเทศไทยในการพัฒนายาชีววัตถุด้วยตนเอง สร้างความมั่นคงทางสุขภาพในระยะยาว และเปิดโอกาสให้เกิดการต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ตอบโจทย์สาธารณสุขไทยในอนาคต
ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ กล่าวว่า โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการสูญเสียชีวิตของคนไทยเป็นอันดับหนึ่ง เราต้องการงานวิจัยในเชิงของการป้องกัน โดยโครงการนำร่องคือ 'ยาต้านมะเร็งปอด' รวมถึงงานวิจัยในเรื่องวัคซีนต่าง ๆ
โดยจุฬาฯ และสภากาชาดไทยเชื่อมั่นว่าความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ทำให้งานวิจัยและนวัตกรรมของไทยมีความก้าวล้ำนานาอารยประเทศ และที่สำคัญคือการช่วยให้คนไทยมีสุขภาพที่แข็งแรงและอายุยืนยาวมากยิ่งขึ้น
ด้าน นายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย กล่าวว่า การดูแลสุขภาพอนามัยของประชาชนถือเป็นพันธกิจสำคัญที่สภากาชาดไทยดำเนินงานภายใต้หลักการกาชาดสากลมาโดยตลอด ยาและวัคซีนที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานเป็นหัวใจของการป้องกันและรักษาโรค ซึ่งสภากาชาดไทย โดยเฉพาะสถานเสาวภาและศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติมีบทบาทหลักในการผลิตวัคซีนและยาชีววัตถุที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและการรักษาโรคมาอย่างยาวนาน ซึ่งที่ผ่านมางานวิจัยและเทคโนโลยีมักเป็นของต่างชาติ
ปัจจุบันนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ไทยสามารถวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาชีววัตถุที่เป็นนวัตกรรมของไทย เพื่อการพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งเป็นความมั่นคงทางยาของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โลกเผชิญความท้าทายจากโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ ความร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะช่วยต่อยอดองค์ความรู้และยกระดับกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง เป็นการผนึกกำลังที่ทรงคุณค่า เพื่อผลิตวัคซีนและยาชีววัตถุที่ได้มาตรฐานสากล สามารถเข้าถึงได้จริง และตอบโจทย์สุขภาพของคนไทยทุกคน.


