posttoday

สิทธิประกันสังคม ‘เมื่อเก็บเงินเพิ่ม’ แล้ว ‘ได้อะไรเพิ่มบ้าง?’

03 กันยายน 2568

แจกแจงรายละเอียด 'ประกันสังคม' จ่อเรียกเก็บเงินสมทบเพิ่มแบบขั้นบันไดตั้งแต่ปีหน้า แล้วประชาชนได้อะไรเพิ่มบ้าง? รวมไปถึงสิทธิประโยชน์ที่ได้รับมีอะไรบ้าง

ต้นปีที่ผ่านมา บอร์ดประกันสังคมได้เห็นชอบกฎกระทรวงที่จะ ‘ปรับเงินสมทบประกันสังคม’ พูดง่ายๆ คือ เก็บเพิ่มขึ้นในลักษณะขั้นบันได โดยจะเริ่มในต้นปี 2569 มีรายละเอียดดังนี้

 

ในปี 2569 - 2571 

  • จากเดิมคิดจากรายได้ 15,000 บาท  จะปรับเป็นสูงสุด 17,500 บาท
  • จากจ่ายเงินสมทบสูงสุด 750 บาทต่อเดือน (หากใครรายได้เกินกว่า 15,000 บาท จะคิดที่ 17,500 บาท) ทำให้ต้องจ่ายเงินสมทบสูงสุด 875 บาทต่อเดือน

 

ในปี 2572 -2574

  • คิดจากรายได้จากเดิม 17,500 บาท เป็น 20,000 บาท เท่ากับจะต้องจ่ายเงินสมทบสูงสุด 1,000 บาทต่อเดือน

 

ในปี 2575

  • คิดจากรายได้สูงสุดที่ 23,000 บาท จ่ายเงินสมทบสูงสุด 1,150 บาทต่อเดือน

 

แล้วประชาชนจะได้อะไรเพิ่มบ้าง?

 

 

สิทธิประโยชน์ 6 กรณีที่จะปรับขึ้นมีรายละเอียดดังนี้

 

ปี 2569-2571   สูงสุด 875 บาทต่อเดือน เพิ่ม 125 บาทต่อเดือน

  1. เงินทดแทนกรณีเจ็บป่วย 7,500 บาทต่อเดือน (250 บาทต่อวัน สูงสุด 180 วัน รวม 45,000 บาท) ปรับเป็นเงินทดแทนกรณีเจ็บป่วย 8,750 บาทต่อเดือน (291 บาทต่อวัน สูงสุด 180 วัน รวม 52,500 บาท)
  2. เงินสงเคราะห์คลอดบุตร 22,500 บาทต่อครั้ง ปรับเป็น 26,250 บาทต่อครั้ง
  3. เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพ 7,500 บาทต่อเดือน ปรับเป็น 8,750 บาทต่อเดือน
  4. เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 90,000 บาท ปรับเป็น 105,000 บาท
  5. เงินทดแทนกรณีว่างงาน 7,500 บาทต่อเดือน ปรับเป็น 8,750 บาทต่อเดือน
  6. เงินบำนาญ กรณีส่งเงินสมทบ 15 ปี 3,000 บาทต่อเดือน ปรับเป็น 3,500 บาทต่อเดือน ส่งเงินสมทบ 25 ปี 5,250 บาทต่อเดือน ปรับเป็น 6,125 บาทต่อเดือน

 

 

ปี 2572-2574  สูงสุด 1,000 บาทต่อเดือน เพิ่ม(จากปี 2571)  125 บาทต่อเดือน

  1. เงินทดแทนกรณีเจ็บป่วย 10,000 บาทต่อเดือน (333 บาทต่อวัน สูงสุด 180 วัน รวม 60,000 บาท)
  2. เงินสงเคราะห์คลอดบุตร 30,000 บาทต่อครั้ง
  3. เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพ 10,000 บาทต่อเดือน
  4. เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 120,000 บาท
  5. เงินทดแทนกรณีว่างงาน 10,000 บาทต่อเดือน
  6. เงินบำนาญ กรณีส่งเงินสมทบ 15 ปี 4,000 บาทต่อเดือน ส่วนกรณีส่งเงินสมทบ 25 ปี 7,000 บาทต่อเดือน

 

ปี 2575 สูงสุด 1,150 บาทต่อเดิม เพิ่ม(จากปี 2574) 150 บาทต่อเดือน

  1. เงินทดแทนกรณีเจ็บป่วย 11,500 บาทต่อเดือน (383 บาทต่อวัน สูงสุด 180 วัน รวม 69,000 บาท)
  2. เงินสงเคราะห์คลอดบุตร 34,500 บาทต่อครั้ง 3. เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพ 11,500 บาทต่อเดือน
  3. เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพ 11,500 บาทต่อเดือน
  4. เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 138,000 บาท
  5. เงินทดแทนกรณีว่างงาน 11,500 บาทต่อเดือน
  6. เงินบำนาญ กรณีส่งเงินสมทบ 15 ปี 4,600 บาทต่อเดือน ส่วนกรณีส่งเงินสมทบ 25 ปี 8,050 บาทต่อเดือน

 

สิทธิประโยชน์มาตรา 33 ทุกวันนี้มีอะไรบ้าง?

 

ก่อนที่จะปรับสิทธิประโยชน์และรายจ่ายที่ต้องจ่ายเพิ่มในปีหน้า เว็บไซต์ของวุฒิสภา ได้ออกบทความให้ความรู้ และรวบรวมสิทธิของผู้ประกันตนมาตรา 33 ว่ามีสิทธิประโยชน์อะไรบ้าง ดังนี้

 

กรณีว่างงาน

เงื่อนไข :

  • ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนว่างงานหรือถูกเลิกจ้าง และมีระยะว่างงานตั้งแต่ 8 วันขึ้นไป
  • ขึ้นทะเบียนเพื่อรับเงินทดแทนกรณีว่างงานได้  โดยจะต้องขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานผ่านเว็บไซต์ของกรมการจัดหางาน หรือลงทะเบียนที่สำนักงานประกันสังคมใกล้บ้านภายใน 30 วัน นับจากวันที่ลาออกหรือถูกเลิกจ้าง
  • ต้องรายงานตัวตามนัดไม่น้อยกว่าเดือนละ 1 ครั้ง จึงจะได้รับเงินทดแทนประกันสังคม โดยจะแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ

                   1) ถูกเลิกจ้าง จะได้เงินทดแทน 50% ของค่าจ้างเฉลี่ย ปีละไม่เกิน 180 วัน
                   2) ลาออก หรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง จะได้รับเงินทดแทน 30% ของค่าจ้างเฉลี่ย ปีละไม่เกิน 90 วัน

 

กรณีประสบอันตราย หรือเจ็บป่วย

เงื่อนไข :  ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 เดือน ภายใน 15 เดือนก่อนเข้ารับการรักษา จะได้รับสิทธิรักษาพยาบาล โดยแยกเป็นแต่ละกรณี ดังนี้

 

1. รักษาในสถานพยาบาลที่ได้ลงทะเบียนไว้กับระบบประกันสังคม และเครือข่ายของโรงพยาบาลตามสิทธิ สามารถเข้ารักษาพยาบาลได้ฟรี ทั้งแบบผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน รวมถึงการรับบริการตรวจสุขภาพและฟื้นฟูสมรรถภาพหลังเจ็บป่วยด้วย

 

2. ประสบอุบัติเหตุ หรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลได้ทั้งโรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชน โดยมีเงื่อนไขความคุ้มครองตามสิทธิที่ประกันสังคมจ่ายให้ คือ

  • โรงพยาบาลรัฐ

          ผู้ป่วยนอก ประกันสังคมจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ตามจริง
          ผู้ป่วยใน   จ่ายให้ตามจริง ไม่เกิน 72 ชั่วโมงแรก โดยไม่รวมวันหยุดราชการ และมีค่าห้องและอาหารให้ตามจริงไม่เกิน 700 บาท/วัน

  • โรงพยาบาลเอกชน

          ผู้ป่วยนอก จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ตามจริง สูงสุด 1,000 บาท
          ผู้ป่วยในที่ไม่ได้รักษาในห้อง ICU จ่ายให้ตามจริงไม่เกิน 72 ชั่วโมงแรก โดยไม่รวมวันหยุดราชการ สูงสุดวันละ 2,000 บาท และมีค่าห้องและอาหารตามจริงไม่เกิน 700 บาท/วัน
          ผู้ป่วยในที่รักษาในห้อง ICU จ่ายให้ตามจริง สูงสุดวันละ 4,500 บาท รวมค่าห้อง ค่าอาหาร และค่ารักษาพยาบาล

  • หากผู้ป่วยตามสิทธิประกันสังคม มาตรา 33 จำเป็นต้องผ่าตัดใหญ่ จ่ายให้ตามจริง ครั้งละ 8,000-16,000 บาท ขึ้นอยู่กับระยะเวลาผ่าตัด

          ค่าฟื้นคืนชีพ จ่ายให้ตามจริง ไม่เกิน 4,000 บาท/ราย
          ค่าเอกซเรย์ จ่ายให้ตามจริง ไม่เกิน 1,000 บาท/ราย
          ค่าตรวจรักษา และค่าบริการอื่น ๆ สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่หนังสือคู่มือผู้ประกันตน
 

3. ประสบอุบัติเหตุ หรือเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาล ณ สถานพยาบาลที่ใกล้เคียงได้ทุกแห่งโดยไม่ต้องสำรองจ่าย และไม่เกิน 72 ชั่วโมง

 

4. ทันตกรรม

  •  กรณีขูดหินปูน อุดฟัน ถอนฟัน และผ่าฟันคุด จ่ายให้ตามจริงไม่เกิน 900 บาท/ปี
  • ใส่ฟันเทียมชนิดถอดได้บางส่วน จ่ายค่าบริการทางการแพทย์และค่าฟันเทียมให้ตามจริง ไม่เกิน 1,500 บาท ภายในระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ใส่ฟันเทียม
  • ใส่ฟันเทียมถอดได้ทั้งปาก จ่ายให้ตามจริงไม่เกิน 4,400 บาท ภายในระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ใส่ฟันเทียม


5. เงินทดแทนการขาดรายได้ กรณีที่แพทย์ระบุให้หยุดทำงานเพื่อพักรักษาตัวให้หายดี จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ 50% ของค่าจ้าง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท ครั้งละไม่เกิน 90 วัน และจะได้รับปีละไม่เกิน 180 วัน ทั้งนี้หากป่วยและต้องหยุดงานด้วยโรคเรื้อรัง จะได้รับเงินทดแทนไม่เกิน 365 วัน

 

 

 

กรณีคลอดบุตร

เงื่อนไข :  ผู้ประกันตนตาม มาตรา 33 ที่จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 เดือน ภายใน 15 เดือนก่อนวันคลอดบุตร จะสามารถเบิกจ่ายค่าบริการทางการแพทย์แบบเหมาจ่ายกรณีคลอดบุตร ในอัตรา 15,000 บาท/การคลอดบุตรหนึ่งครั้ง ส่วนค่าตรวจและฝากครรภ์ เบิกได้ตามจริงจำนวน 5 ครั้ง รวมสูงสุดไม่เกิน 1,500 บาท

  • สำหรับสิทธิประกันสังคม มาตรา 33 เพิ่มเติมของผู้ประกันตนหญิง จะได้รับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรเหมาจ่าย 50% ของค่าจ้างเฉลี่ย เป็นระยะเวลา 90 วัน สูงสุด 2 ครั้ง

ทั้งนี้ หากสามีและภรรยาเป็นผู้ประกันตนทั้งคู่ สิทธิในการเบิกค่าคลอดบุตรจะใช้ได้จากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น และไม่จำกัดจำนวนบุตรต่อครั้งที่ใช้สิทธิ
 
         

 

กรณีสงเคราะห์บุตร

เงื่อนไข :  ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 12 เดือน ภายใน 36 เดือนก่อนขอรับเงินสงเคราะห์บุตร จะได้รับเงินสงเคราะห์บุตรแบบเหมาจ่าย จำนวน 800 บาท/เดือน/บุตร 1 คน และสูงสุดครั้งละ 3 คน โดยบุตรนั้นต้องเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งจะได้รับตั้งแต่อายุแรกเกิดจนครบ 6 ปีบริบูรณ์ และหากผู้ประกันตนเป็นผู้ทุพพลภาพหรือถึงแก่ความตายในระหว่างนั้น จะยังไม่ได้รับสิทธินี้ต่อไปจนบุตรอายุครบ 6 ปีบริบูรณ์

 

 

กรณีทุพพลภาพ

เงื่อนไข : ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 เดือน ภายใน 15 เดือนก่อนทุพพลภาพ จะได้รับสิทธิประโยชน์ที่ประกอบด้วย

 

1. เงินทดแทนการขาดรายได้

  • กรณีทุพพลภาพรุนแรง ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ในอัตรา 50% ของค่าจ้างเฉลี่ย ได้รับเป็นรายเดือนตลอดชีวิต
  • กรณีทุพพลภาพไม่รุนแรง ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ในอัตรา 30% ของค่าจ้าง ไม่เกิน 180 เดือน

 
2. ค่าบริการทางการแพทย์

  • สถานพยาบาลของรัฐบาล รับการรักษาด้วยค่าบริการทางการแพทย์ตามจริง ทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก
  • สถานพยาบาลเอกชน สิทธิประกันสังคม มาตรา 33 ให้เบิกได้ตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 2,000 บาท/เดือน สำหรับผู้ป่วยนอก กรณีผู้ป่วยในเบิกได้ตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 4,000 บาท/เดือน หากต้องใช้รถพยาบาลรับส่ง เหมาจ่ายให้ไม่เกินเดือนละ 500 บาท และมีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย จิตใจ และอาชีพ ในอัตราตามที่ประกาศฯ กำหนด

 
3. เงินสงเคราะห์กรณีถึงแก่ความตาย

  •  หากผู้ประกันตนเสียชีวิตในขณะที่ทุพพลภาพ จะได้รับเงินค่าทำศพ 50,000 บาท โดยมอบให้ผู้จัดการศพ
  • กรณีที่จ่ายเงินสมทบมาแล้ว 3 ปี แต่ไม่ถึง 10 ปี จะได้รับเท่ากับค่าจ้างเฉลี่ย 2 เดือน
  • กรณีจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินสงเคราะห์เท่ากับค่าจ้างเฉลี่ย 6 เดือน

 

 

กรณีชราภาพ

สำหรับเงินทดแทนกรณีชราภาพ จะแยกออกเป็น 2 กรณี โดยผู้ประกันตนไม่สามารถเลือกได้ ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของประกันสังคมเท่านั้น คือ

  1. เงินบำเหน็จชราภาพ สำหรับผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบต่ำกว่า 180 เดือน และมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ หรือความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง เป็นผู้ทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตาย มีสิทธิรับเงินบำเหน็จโดยจ่ายเป็นก้อนเดียว และแยกเป็น 2 เงื่อนไข คือ
  • ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 1-11 เดือน จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเท่ากับจำนวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่ายฝ่ายเดียว
  • ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 12-179 เดือน จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเท่ากับจำนวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตนและนายจ้างจ่ายเงินสมทบ พร้อมผลประโยชน์ตอบแทน


2.  เงินบำนาญชราภาพ สำหรับผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 180 เดือน และมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ หรือความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง เป็นผู้ทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตาย มีสิทธิรับเงินบำนาญซึ่งจะจ่ายเป็นรายเดือนตลอดชีวิต และแยกเป็น 2 เงื่อนไข คือ

  • ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบครบ 180 เดือน จะได้รับเงินบำนาญชราภาพเป็นรายเดือนในอัตรา 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย และใช้อัตราสูงสุด 15,000 บาท เป็นฐานในการคำนวณ
  • ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบมากกว่า 180 เดือน เงินบำนาญ ตามข้อ 1 จะปรับเพิ่มขึ้นอีกในอัตราปีละ 1.5%


ทั้งนี้ หากผู้ประกันตนตาม มาตรา 33 ที่ได้รับเงินบำนาญชราภาพแล้ว แต่เสียชีวิตหลังได้รับสิทธิภายใน 60 เดือน ทายาทจะได้รับเงินทดแทนเป็นเงินบำเหน็จชราภาพ ในอัตรา 10 เท่าของเงินบำนาญชราภาพในเดือนสุดท้ายก่อนเสียชีวิต

 


 
กรณีเสียชีวิต

เงื่อนไข : ผู้ประกันตนตาม มาตรา 33 จ่ายเงินสมทบมาแล้ว 1 เดือน ภายในระยะเวลา 6 เดือนก่อนถึงแก่ความตาย ผู้จัดการศพจะได้รับเงินค่าทำศพ 50,000 บาท และจะได้รับเงินสงเคราะห์ 2 กรณี

  •  กรณีจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 36 เดือน แต่ไม่ถึง 120 เดือน จะได้รับเงินสงเคราะห์จำนวนเท่ากับค่าจ้างเฉลี่ย 2 เดือน
  • กรณีจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 120 เดือน จะได้รับเงินสงเคราะห์จำนวนเท่ากับค่าจ้างเฉลี่ย 6 เดือน โดยผู้ที่มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์ตามมาตรา 33 ในกรณีนี้จะต้องเป็นบุตร สามี/ภรรยา บิดา/มารดา หรือบุคคลที่ผู้ประกันตนระบุไว้ในหนังสือ

ข่าวล่าสุด

ทรู-ซีพี ผนึก กกท. ประกาศพร้อมจัดซีเกมส์ 2025 ชูเครือข่าย 5G เต็มพิกัด