ผู้เชี่ยวชาญหวังสังคมเข้าใจ 'เอดส์รักษา-หยุดแพร่เชื้อได้'
ผู้เชี่ยวชาญด้านเอดส์แจงข้อเท็จจริง 'เอดส์รักษา-หยุดแพร่เชื้อได้' ไม่จริงที่เอดส์มีระยะท้าย เพราะสิทธิการรักษาครอบคลุม ย้ำกดปริมาณไวรัสต่ำลงได้ จะไม่แพร่เชื้อ
KEY
POINTS
- ผู้เชี่ยวชาญด้านเอดส์แจงข้อเท็จจริง 'เอดส์รักษา-หยุดแพร่เชื้อได้' ไม่จริงที่ว่าเอดส์มีระยะท้าย เพราะสิทธิประโยชน์ครอบคลุม ย้ำถ้ากดปริมาณไวรัสต่ำลงได้ จะไม่แพร่เชื้อ
- การตีตราจากสังคมยังเป็นอุปสรรคสำคัญ ทำให้ผู้ติดเชื้อจำนวนมากไม่กล้าเข้ารับการตรวจหรือเข้าสู่ระบบการรักษา
- ประเทศไทยมีสิทธิประโยชน์การรักษาและป้องกันฟรีภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ตั้งแต่การตรวจคัดกรอง ยาป้องกัน (Prep) และยาต้านไวรัส
- ผู้เชี่ยวชาญย้ำว่าโรคเอดส์ในปัจจุบันกลายเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และแนะนำให้ผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์เข้ารับการตรวจหาเชื้ออย่างน้อยหนึ่งครั้ง
คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบและกำกับติดตามการเข้าถึงบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยโรคเอดส์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และวัณโรค ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวในงานแถลงข่าว “งานเอดส์ประเทศไทย: ก้าวได้ไกล ไปใกล้ถึง” เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2568 ที่ผ่านมา เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ในประเทศไทย
พญ.จุรีรัตน์ บวรวัฒนนุวงศ์ นายกสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลอด 44 ปี ที่มีการดำเนินการเกี่ยวกับโรคเอดส์ในประเทศไทย มีข้อเท็จจริง (Fact) คือ ไทยมีโครงการยาต้านเอดส์แห่งชาติเต็มรูปแบบในปี 2548 ทำให้ประเทศไทยดูแลผู้ป่วยโรคเอดส์ฟรีเริ่มตั้งแต่ปีดังกล่าว
สำหรับยาต้านไวรัสเอชไอวีปัจจุบันดีขึ้นมาก มีการพัฒนาจนกดไวรัสจนไม่ให้แพร่เชื้อได้ ทำให้คนไข้มีสุขภาพดี มีครอบครัวและมีลูกได้ ส่วนข้อมูลเท็จ คือ คำว่า 'เอดส์ระยะสุดท้าย' อยากให้ลบคำว่าเอดส์ระยะสุดท้ายออกไป เพราะด้วยยารักษามีประสิทธิภาพมาก ทำให้ผู้ติดเชื้อมีชีวิตแบบคนปกติ
โดยปัจจุบันในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) มีงบให้การรักษากว่า 3,500 ล้านบาท ทั้งยังมีงบสำหรับการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีอีกกว่า 680 ล้านบาท เรื่องเงินจึงไม่ใช่ปัญหาในการดูแลผู้ป่วยเอชไอวี
เผยสถานการณ์ผู้ป่วยในจำนวน 5.5 แสนคน 4 แสนคนทานยาสม่ำเสมอไม่แพร่เชื้อ
นพ.พงศ์ธร ชาติพิทักษ์ ผู้อำนวยการกองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์โรคเอดส์ในขณะนี้ ไทยมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ประมาณ 8,000 คน/ปี แต่ด้วยประสิทธิภาพของยาต้านไวรัสที่มีประสิทธิผล ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมที่มีชีวิตอยู่เพิ่มขึ้น
ปัจจุบันมีผู้ป่วยอยู่ที่ 5.5 แสนคน ในจำนวนนี้กว่า 4 แสนคน ทานยาต้านไวรัสสม่ำเสมอจนอยู่ในระดับที่ไม่แพร่เชื้อและดูด้วยสายตาแล้วเหมือนคนปกติทั่วไป อย่างไรก็ดีผู้ติดเชื้ออีกราว 1.5 แสนคนนั้น ต้องอาศัยความเข้าใจของสังคม เพื่อลดการตีตรา ด้วยเป็นอุปสรรคที่ทำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ไม่กล้าแสดงตัวตนออกมารับยาต้านไวรัส หรือรับการตรวจหาเชื้อเอชไอวี
นอกจากนี้ในส่วนของผู้ที่ควรจะทานยาป้องกันเอไอวี (Prep) ยังมีอยู่ไม่ถึง 20% จากกลุ่มเสี่ยงที่ควรกินยาทั้งหมด หมายความว่าคนกลุ่มนี้มีโอกาสติดเชื้อ และอาจทำให้เกิดผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นสูงขึ้นได้ในอนาคตได้
ดังนั้นจึงต้องการความร่วมมือในการสื่อสารให้ใช้ถุงยางอนามัย หรือทานยา Prep โดยคณะกรรมการยุติปัญหาเอดส์แห่งชาติตั้งเป้ายุติปัญหาเอดส์ในปี 2573 โดยคาดหวังว่าผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อปีจะไม่ถึง 1,000 คน และมีจำนวนผู้เสียชีวิตไม่เกิน 4,000 คน/ปี
ย้ำเอดส์ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว สิทธิประโยชน์ครอบคลุม
รศ.ดร.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า วันนี้โรคเอดส์ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว เพราะมียาที่สามารถจำกัดไวรัสเอชไอวีในระดับที่ผู้ติดเชื่อไม่แพร่เชื้อได้ โดยในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) มีชุดสิทธิประโยชน์ตั้งแต่ยาที่ป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก บริการชุดตรวจคัดกรองการติดเชื้อที่ขอรับฟรีได้ที่โรงพยาบาล คลินิกเอกชน หรือร้านยาที่ร่วมเป็นหน่วยบริการในระบบบัตรทอง เช่นเดียวกับถุงยางอนามัยก็สามารถรับได้ฟรีเช่นกัน นอกจากนี้ในส่วน สปสช. เองยังมีกระบวนการเชิงรุกที่เข้าไปในชุมชนเพื่อให้คำแนะนำและชักชวนเข้ารับการตรวจคัดกรอง หากตรวจแล้วไม่ติดเชื้อก็มียา Prep เพื่อป้องกันไม่ให้ติดเชื้อต่อไป แต่หากติดเชื้อแล้วก็สามารถรับยาที่ควบคุมระดับไวรัสโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ
ด้าน นางยุพา สุขเรือง ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย กล่าวว่า ตนเองกินยาต้านไวรัสมากว่า 20 ปี ยืนยันว่าเอชไอวีไม่สามารถทำลายชีวิตได้ ไม่มีคำว่าเอดส์ระยะสุดท้าย เพราะระบบการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีความก้าวหน้ามาก มียาที่กินแค่วันละครั้ง ทั้งมีผลข้างเคียงน้อย แต่สามารถลดจำนวนไวรัสให้ต่ำจนไม่มีการแพร่เชื้อแม้จะมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัย ได้ใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป
อย่างไรก็ดีในแง่ของการตีตราและเลือกปฏิบัติจากสังคม เอชไอวียังถูกมองเป็นเรื่องน่ารังเกียจ น่ากลัว และยังมีระเบียบกฎเกณฑ์ที่เลือกปฏิบัติทั้งในภาคเอกชนและภาครัฐ เช่น ตำรวจ ทหาร ยังมีกฎระเบียบที่ห้ามไม่ให้ผู้ติดเชื้อทำอาชีพนี้ได้ เหล่านี้ไม่เอื้อให้คนที่มีความเสี่ยง กล้าที่จะเข้ารับการตรวจหาเชื้อหรือทำให้ผู้ที่รู้ตัวว่าติดเชื้อแล้วกล้าที่จะเข้าสู่ระบบการรักษา
แนะคนที่เคยมีเพศสัมพันธ์ควรตรวจหาเชื้ออย่างน้อย 1 ครั้ง
ศ.กิตติคุณ นพ.ประพันธ์ ภานุภาค กรรมการและที่ปรึกษาสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า เพศสัมพันธ์แม้จะเพียงมีครั้งเดียวในชีวิต ก็มีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อ ดังนั้นใครที่เคยมีเพศสัมพันธ์ ควรไปรับการตรวจหาเชื้ออย่างน้อย 1 ครั้ง เพราะหลายๆ คนในสังคมไม่คิดว่าตัวเองมีความเสี่ยง ซึ่งการตรวจเอชไอวีก็ยังแสดงความรับผิดชอบต่อสุขภาพของตัวเองและคนรอบข้าง หากทุกคนทำได้จะเป็นประโยชน์ต่อการควบคุมโรคเอดส์เป็นอย่างมาก
“เอดส์วันนี้กับ 40 ปีที่แล้วต่างกันมาก จากรักษาไม่ได้ ต้องตาย แต่วันนี้นี้รักษาได้ ทั้งผู้ติดเชื้อเมื่อกินยาไป 1-2 เดือนก็มีสุขภาพแข็งแรง และเมื่อผ่านไป 3-6 เดือน คนๆ นั้นจะไม่แพร่เชื้อให้ใครได้
ดังนั้นโรคเอดส์ในปัจจุบันได้กลายเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังไปแล้ว ปัญหาในปัจจุบันคือต้องทำให้การตรวจเลือดเป็นเรื่องปกติ หากตรวจเจอเร็วขึ้นก็หยุดการแพร่เชื้อได้ ซึ่งสื่อมวลชนต้องช่วยกันประชาสัมพันธ์” ศ.กิตติคุณ นพ.ประพันธ์ กล่าว
ขณะที่ นายนิมิตร์ เทียนอุดม ประธานคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบและกำกับติดตามการเข้าถึงบริการผู้ติดเชื้อ เอชไอวี ผู้ป่วยโรคเอดส์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และวัณโรค กล่าวว่า อยากสื่อสารถึงคน 4 กลุ่ม
1. ผู้ป่วยเอดส์ที่ยังไม่เข้าสู่ระบบการรักษา กรุณาโทรเข้าสายด่วน 1663 หรือ สายด่วน 1330 เพื่อแจ้งข้อมูล แล้วจะมีคนช่วยทำให้เข้าถึงการรักษา
2. ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ขอให้โทรเข้าสายด่วน 1663 หรือ สายด่วน 1330 เช่นกัน เพื่อขอให้บริการตรวจหาเชื้อและบริการป้องกันโรค
3. นายจ้างหรือผู้มีอำนาจรับคนเข้าทำงาน/เรียน อยากให้เข้าใจว่าคนที่มีเชื้อเอชไอวีและเข้าสู่การรักษาแล้วไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน กลุ่มนายจ้างมีความสำคัญในการสร้างบรรยากาศว่าเป็นเอดส์แล้วทำงานได้ ทำให้สังคมรู้สึกปลอดภัย ลดการรังเกียจกีดกันกันได้ แ
4.แพทย์/พยาบาล หากมีผู้ติดเชื้อเดินเข้าไปในโรงพยาบาล กรุณานำเข้าสู่กระบวนการรักษาโดยเร็วภายใน 1 วัน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อได้อย่างมาก


