รู้จักวิธีขับรถแบบ Eco-Driving ช่วยโลกลดคาร์บอนได้กว่า 22%
โพสต์ทูเดย์พารู้จักวิธีขับรถแบบ Eco-Driving เมื่องานวิจัยจาก MIT ล่าสุดเผยว่าการขับรถดังกล่าวจะช่วยโลกลดคาร์บอนได้กว่า 22%
KEY
POINTS
- งานวิจัยจาก MIT พบว่าการขับรถแบบ Eco-Driving ในเมืองใหญ่สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่แยกสัญญาณไฟได้ 11-22% ต่อปี
- หลักการสำคัญของ Eco-Driving คือการขับขี่อย่างนุ่มนวล รักษาความเร็วคงที่ หลีกเลี่ยงการเร่งหรือเบรกกะทันหันเพื่อลดการใช้เชื้อเพลิงและมลพิษ
- ผลการศึกษาชี้ว่าแม้มีรถเพียง 10% ที่ขับแบบ Eco-Driving ก็สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึงครึ่งหนึ่งของเป้าหมายสูงสุด เนื่องจากส่งผลต่อรถคันอื่นที่ขับตาม
- นอกจากการปรับพฤติกรรมการขับขี่แล้ว การดูแลรักษารถยนต์ เช่น ตรวจสอบลมยาง และดับเครื่องเมื่อจอดรอนาน ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยประหยัดพลังงานได้
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยระดับโลกอย่าง MIT (สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์) ล่าสุดได้สำรวจการนำเทคโนโลยี Eco-Driving ไปใช้ในเมืองใหญ่ในสหรัฐอเมริกาสามแห่งอย่าง แอตแลนตา ซานฟรานซิสโก และลอสแอนเจลิส ครอบคลุมมากกว่า 6,000 แยกจราจร และ 1 ล้านกรณีสถานการณ์จราจรบนท้องถนนที่จะเกิดขึ้น
เพื่อหาคำตอบว่าเทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้หรือไม่?
ปรากฎว่างานวิจัยนี้ค้นพบคำตอบที่น่าทึ่ง! ด้วยการทดลองกว่า 4 ปี ครอบคลุมปัจจัยต่างๆ กว่า 33 ตัวแปรบนท้องถนน เช่น อุณหภูมิ ทางลาด อายุรถ ยี่ห้อ พฤติกรรมของคนขับ หรือรูปแบบสัญญาณจราจร
จนได้คำตอบว่า เมื่อใช้เทคโนโลยี Eco-Driving แบบ 100% ในพื้นที่เมืองใหญ่ จะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่แยกสัญญาณไฟได้กว่า 11-22% ต่อปี โดยไม่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยหรือความคล่องตัวของการจราจร
หาก 100% จะเป็นอะไรที่อุดมคติเกินไป! งานวิจัยก็บ่งชี้ชัดเจนว่า ขอแค่มีรถปริมาณเพียงแค่ 10% ใช้ Eco-Driving ก็ยังให้ผลลัพธ์สูงสุดครึ่งหนึ่งของที่ควรจะเป็น เนื่องจากการขับรถแบบ Eco-Driving จะมีผลต่อการขับขี่ของรถยนต์คันอื่นที่ขับตามกันมา โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่การจราจรหนาแน่นซะเหลือเกิน!
นอกจากนี้ หากอยากช่วยกันรักษ์โลกมากขึ้น การปรับความเร็วให้เหมาะสมที่แยกเพียง 20% ของทั้งหมด จะสามารถสร้างการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เพิ่มขึ้นอีก 70% เลยทีเดียว
ทำไมถึงต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่แยกบนท้องถนน
แยกจราจรบนท้องถนนถือเป็น Hotspot ของการปล่อยมลพิษ เพราะเวลารถติดไฟแดงจะทำให้เคลื่อนช้า เครื่องยนต์จะเผาไหม้เชื้อเพลิงแต่ไม่เคลื่อนที่ จึงทำให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงในแบบที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์
อีกทั้ง บริเวณแยกสัญญาณไฟมักมีปริมาณรถหนาแน่น ถ้าเทียบกับพื้นที่เล็กๆ ตรงแยกนั้นก็ทำให้อนุมานได้ว่าปริมาณก๊าซต่อพื้นที่คงต้องหนาแน่นกว่าปกติเป็นแน่แท้
ที่สำคัญคือถ้าจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ จุดนี้ถือเป็นจุดที่สามารถปรับพฤติกรรมด้วยการใช้ไฟแดง-ไฟเขียว หรือ AI สร้างระบบไฟจราจรอัจฉริยะควบคุมความเร็วได้ดีกว่า และจะทำให้ต้นทุนการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำกว่าที่อื่นๆ
การขับรถแบบ Eco-Driving คืออะไร?
หลายคนคงได้ยินคำว่ารถอีโค่คาร์ มาสักระยะหนึ่งแล้วแต่ การขับรถแบบ Eco-Driving คืออะไร?
โพสต์ทูเดย์ หาคำตอบมาให้ โดยกรมการขนส่งทางบก ได้อธิบายว่า Eco-Driving เป็นการขับรถอย่างประหยัดพลังงาน ลดการใช้เชื้อเพลิง ลดการปล่อยมลพิษ และไม่กระทบต่อความปลอดภัย โดยมีหลักการสำคัญคือ
- ขับแบบนุ่มนวล ให้เร่งความเร็วหรือชะความเร็วแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่กระชากหรือเร่งเครื่องแบบกะทันหัน เพราะการเร่ง-เบรกกระชาก จะใช้เชื้อเพลิงเพิ่มถึง 40% แต่ในขณะเดียวกันกลับลดเวลาเดินทางได้น้อยมาก ที่สำคัญคือการเร่งและหยุดแบบกะทันหันที่แยกจราจรส่งผลให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่าที่คิด!
- ขับแบบรักษาความเร็วคงที่ หลีกเลี่ยงการใช้ความเร็วสูงเกินจำเป็น เพราะยิ่งเร็ว การใช้พลังงานและการปล่อยมลพิษยิ่งสูง โดยพบว่าจะช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้ถึง 10-15%
- ใช้เกียร์ให้เหมาะสม เลี่ยงการกดคันเร่งจนเครื่องยนต์ลากรอบสูงโดยไม่จำเป็น
- ดับเครื่องขณะจอดรอนานๆ ถ้าหากว่าจอดเกิน 10-30 วินาที ควรดับเครื่องเพื่อประหยัดเชื้อเพลิง
- ดูแลสภาพรถ เช่น ยางลมที่เหมาะสมจะช่วยประหยัดได้ถึง 3%
- นำของที่ไม่จำเป็นออกจากรถและถอด Roof Rack เพื่อลดแรงต้านอากาศ ก็จะช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้อีกทาง
หากทำได้นอกจากจะเป็นการลดการใช้เชื้อเพลิงแล้ว ยังลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และ PM2.5 ลดค่าใช้จ่ายน้ำมันและการสึกหรอของรถยนต์ได้ด้วย.


